ราตรีนี้เฉียวเจาชำระกายผลัดอาภรณ์เป็นเสื้อตัวกลางสีชมพูอ่อน เรือนผมยาวเฟื้อยใช้ผ้าพันซับน้ำจนแห้งสนิทแล้วแต่มิได้มุ่นมวย นางปล่อยผมสยายเดินเข้าสู่ห้องด้านใน
เซ่าหมิงยวนล้างหน้าบ้วนปากเสร็จตั้งนานแล้วรออยู่ในห้อง เขาถือหนังสือเล่มหนึ่งอ่านอยู่ พอได้ยินเสียงฝีเท้าก็เหลือบมองพลางหยักยิ้ม แสร้งทำเยือกเย็นเอ่ยถามขึ้น “เรียบร้อยแล้วหรือ”
เฉียวเจาเลื่อนสายตาลงมองหนังสือในมือเขา
คนงามผมสีดำขลับดุจม่านน้ำตก ฝ่ามือขาวผ่องเนียนนุ่ม เซ่าหมิงยวนรู้สึกคล้ายมีน้ำลายเหนียวติดคอ เขาไอเบาๆ ก่อนกล่าว “เปิดตำราพิชัยยุทธ์อ่านไปเรื่อยเปื่อยน่ะ”
เขาเป็นคนเคร่งขรึมจริงจังถึงเพียงนี้ ไม่มีทางอ่านพวกหนังสือหยาบโลนเป็นอันขาด จะให้ภรรยาเขาเข้าใจผิดมิได้
เฉียวเจาเดินเข้ามาพร้อมกับกลิ่นหอมรวยริน ใช้นิ้วเคาะหนังสือเบาๆ
“มีอะไรหรือ” เซ่าหมิงยวนเขม็งเกลียวไปทั้งตัวมากขึ้น
“ถือกลับหัวแล้ว”
“เอ๊ะ?” ชายหนุ่มก้มหน้าลงเห็นว่าหนังสือกลับหัวอยู่จริงๆ ใบหูเขาแดงเรื่อทันที
แย่ล่ะสิ เจาเจาต้องคิดว่าข้าทนรอไม่ไหวแล้วเป็นแน่
แม้ว่าข้าจะทนรอไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็ตาม…
พอเห็นเซ่าหมิงยวนกำหนังสือในมือแน่นขึ้นทุกที ใบหน้าหล่อเหลาฉายความรู้สึกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุด เฉียวเจาก็หัวร่อเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่
ตอนแรกนางประหม่าอยู่มาก แต่พอเห็นคนบางคนประหม่ามากกว่า จู่ๆ นางก็ไม่ประหม่าแล้ว
เสียงหัวเราะแผ่วเบาของสตรีอ่อนเยาว์ละม้ายก้อนน้ำผึ้งถูกดึงเป็นเส้นบางเท่าเส้นไหมพันรัดตรงกลางใจ ปลุกปั่นให้คนนั่งนอนไม่เป็นสุข
เซ่าหมิงยวนโยนหนังสือไปบนโต๊ะ โอบเอวนางแล้วอุ้มขึ้นจากพื้น
เฉียวเจาหยุดหัวเราะ มองบุรุษเหนือศีรษะโดยไม่กะพริบตา
“นอนเถอะ” สุ้มเสียงของชายหนุ่มติดจะแหบพร่า แต่ดวงตากลับพราวระยับดุจหมู่ดวงดาวส่องแสงอยู่ในนั้น
เฉียวเจาหลุบเปลือกตาลงพลางพยักหน้าน้อยๆ
เซ่าหมิงยวนตาเป็นประกายมากขึ้น วางตัวคนในอ้อมแขนลงบนเตียงเบาๆ สลัดรองเท้าทิ้งแล้วเอนกายลงนอนข้างกายนาง
ศีรษะของเขากับนางเอียงชิดกัน สายตาสองคู่มองสบกัน ต่างสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกันอย่างชัดเจน
“วันนี้เจ้าใช้ขี้ผึ้งหอมกลิ่นมะลิใช่หรือไม่” หลังสบตากันนานครู่หนึ่งเซ่าหมิงยวนหาหัวข้อสนทนาส่งเดช “หอมเหลือเกิน”
“เป็นน้ำปรุงกลิ่นกุหลาบ” เฉียวเจากระดกคิ้วอย่างอดกลั้น
คนโง่ผู้นี้ ไม่รู้จักชวนคุยเรื่องที่ตนถนัดหรือไร
“น้ำปรุงกลิ่นกุหลาบจริงๆ หรือ” เซ่าหมิงยวนกะพริบตาปริบๆ
นางปรายตามองเขาปราดหนึ่ง “ท่านมอบน้ำปรุงสองสามหีบนั่นให้ข้าเองมิใช่รึ”
“ข้าดมดูสักหน่อย” เซ่าหมิงยวนพลิกตัวขึ้นคร่อมเหนือร่างนาง เอามือยันข้างหมอนปักลายยวนยางเล่นน้ำ ดวงตาจับจ้องนางอย่างจดจ่อ
ภายใต้สายตาที่อ่อนโยนดุจสายน้ำคู่นั้น เฉียวเจารู้สึกว่าร่างกายอ่อนระทวยราวกับขี้ผึ้งถูกไฟลน นางหลบตาเขา ลำคอขาวเกลี้ยงและสองแก้มซับสีแดงระเรื่อโดยไม่รู้ตัว
เซ่าหมิงยวนสะบัดมือทีเดียวเปลวเทียนก็ดับวูบในพริบตา มีเพียงแสงวับแวมจากโคมราตรีดวงเล็กๆ ส่องสะท้อนเงาของร่างสองร่างที่กอดก่ายกันไว้บนม่านหน้าเตียงหนาหนัก
เตียงหลังใหญ่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแผ่วเบาพร้อมกับม่านผ้าโปร่งปลิวไหวน้อยๆ เคล้าคลอเสียงที่ชวนให้หน้าแดงใจสั่นดังลอดออกมา จนดวงจันทร์กระจ่างกลางฟ้ายังหลบเร้นเข้าไปหลังผืนเมฆด้วยความเอียงอาย ส่งผลให้ภายในห้องเหลือเพียงแสงสลัวๆ เลือนรางยิ่งขึ้น
ผ่านไปนานเท่าใดก็สุดรู้เซ่าหมิงยวนผุดลุกขึ้นนั่งกะทันหัน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 ธ.ค. 65 เวลา 12.00 น.