“แต่ว่าพลังชั่วร้ายที่เกิดขึ้นรายล้อมเมืองหลวงครานี้ต้องให้โอรสสวรรค์ประทับอยู่เป็นหลักถึงจะสยบเอาไว้ได้ ทางที่ดีฝ่าบาทอย่าเสด็จออกจากเมืองหลวงจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ร่างกายของฮ่องเต้จะทนการเดินทางไกลสมบุกสมบันไปถึงเขาหลิงไถได้ไหวที่ใดกัน ถ้าเกิดมีอันเป็นไปขึ้นมาตำแหน่งราชครูของเขาก็ถึงคราวสิ้นสุดแล้ว
“แล้วเรื่องขอพรจะทำฉันใดดี” ฮ่องเต้หมิงคังพลันรู้สึกว่าราชครูจางกล่าวได้มีเหตุผลมาก เมืองหลวงในเวลานี้ขาดเขาไม่ได้จริงๆ
“ฝ่าบาททรงสามารถคัดเลือกองค์ชายพระองค์หนึ่งกระทำการแทนพระองค์ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังตาเป็นประกาย เขากล่าวชมว่า “ท่านราชครูช่วยคลี่คลายความกังวลให้เราได้จริงๆ นี่เป็นวิธีที่เป็นผลดีต่อทุกฝ่ายโดยแท้”
ราชครูจางยิ้มตาพริ้มไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใด เอาเป็นว่าฮ่องเต้อย่าสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายเท่านั้นเป็นพอ
“แล้วจะเลือกองค์ชายพระองค์ใดไปดีเล่า” ฮ่องเต้หมิงคังไต่ถามความเห็นของราชครูจางต่อ
ราชครูย่อมจะตอบคำถามนี้ได้ไม่ถนัดเป็นธรรมดา เขาพูดจาส่งเดชสองสามคำแล้วโยนกลองกลับไป
ฮ่องเต้หมิงคังตริตรองทบทวนไปมาแล้วตกลงใจเลือกองค์ชายห้ารุ่ยอ๋อง
พินิจตามอายุ เจ้าห้าเป็นพี่ชาย อีกทั้งตอนนี้มีบุตรชายสองคนกับบุตรสาวสองคน พูดได้ว่าเป็นผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่สุด จึงสมควรสร้างโอกาสให้เจ้าห้าได้เคี่ยวกรำตนเอง
เมื่อมีคุณความชอบจากการขอพร ภายภาคหน้าจะเป็นที่ยอมรับของผู้คนได้ง่าย
แน่นอนว่านี่เป็นการเตรียมเผื่อไว้เท่านั้น เขายังตั้งใจเป็นฮ่องเต้ไปอีกนานแสนนาน
ครั้นขุนนางใหญ่ทั้งหลายรู้ว่าฮ่องเต้ล้มเลิกความคิดไปขอพรที่เขาหลิงไถแล้วก็อดโล่งอกไม่ได้ แต่พอได้ยินว่าให้รุ่ยอ๋องไปแทนก็พากันขบคิดไปต่างๆ นานา พวกขุนนางที่วางตัวเป็นกลางแต่เดิมเริ่มใคร่ครวญใหม่ ส่วนคนที่อยู่ฝ่ายเดียวกับมู่อ๋องก็เริ่มหวาดหวั่นขวัญผวาไปตามๆ กัน
ด้านรุ่ยอ๋องได้รับพระราชโองการแล้วตกอยู่ในความงงงัน
เสด็จพ่อให้เขาเป็นผู้แทนพระองค์ไปขอพรที่เขาหลิงไถ นี่บ่งบอกว่าเสด็จพ่อมีใจเอนเอียงที่จะมอบตำแหน่งผู้สืบทอดราชบัลลังก์ให้แก่เขาใช่หรือไม่
ที่ปรึกษาเอ่ยเตือนขึ้นทันที “ท่านอ๋อง แม้ว่าการได้เป็นผู้แทนพระองค์เสด็จไปขอพรจะแสดงถึงความไว้วางพระทัยที่องค์ฮ่องเต้ทรงมีต่อพระองค์ ทว่าถึงอย่างไรก็ต้องเดินทางไกล เกรงว่าระหว่างทางจะเต็มไปด้วยอันตราย พระองค์ทรงต้องเตรียมการให้พร้อมมูล ระวังพระองค์อย่างเต็มที่พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าย่อมต้องรู้แน่” รุ่ยอ๋องคิดคำนึงว่าใกล้จะออกเดินทางไกลแล้ว เขาแวะไปดูลูกน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่นานสามคนก่อนแล้วค่อยไปที่เรือนของหลีเจี่ยว
บุตรสาวของนางย่างสามเดือนเต็ม มีชื่อเรียกแรกเกิดว่า ‘อวี้เอ๋อร์’
รุ่ยอ๋องรับตัวอวี้เอ๋อร์มาจูบเบาๆ พลางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “อวี้เอ๋อร์ยิ่งโตยิ่งงามชวนมองเหมือนเจ้า”
ใบหน้าของหลีเจี่ยวประดับด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจคับข้องสุดประมาณ
จะโฉมงามชวนมองกว่านี้จะมีอันใด ถึงที่สุดแล้วก็ได้เป็นท่านหญิงเท่านั้น
คราแรกนางคิดว่าบางทีอนุสามคนนั้นจะให้กำเนิดบุตรสาวเหมือนกัน เช่นนั้นอวี้เอ๋อร์ของนางซึ่งอยู่ในฐานะบุตรสาวคนโตก็จะยังคงสูงศักดิ์มีเกียรติกว่าทุกคน คิดไม่ถึงว่าในบรรดาอนุสามคนกลับมีถึงสองคนที่คลอดบุตรชายออกมา ทำให้นางกระอักแทบตายเลยทีเดียว
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น อย่างวันนี้ท่านอ๋องก็ไปดูเจ้าลูกสุนัขสามตัวนั้นก่อนถึงจะมาหาอวี้เอ๋อร์
“ข้ากำลังจะออกเดินทางแล้ว เกรงว่าต้องอีกพักหนึ่งถึงกลับมาได้ เจี่ยวเหนียงดูแลอวี้เอ๋อร์ให้ดีๆ” รุ่ยอ๋องอุ้มบุตรสาวไว้ครู่หนึ่งถึงส่งตัวให้แม่นม
“ท่านอ๋องวางพระทัยได้เพคะ หม่อมฉันจะดูแลอวี้เอ๋อร์เป็นอย่างดีแน่นอน” หลีเจี่ยวสะกดความรู้สึกไม่ยอมจำนนไว้เต็มอกพร้อมคลี่ยิ้มอย่างอ่อนหวาน
นางยังอายุน้อย ตราบเท่าที่สุขภาพของท่านอ๋องเป็นปกติก็ต้องมีบุตรชายสักวัน
รุ่ยอ๋องพยักหน้าหงึกหงักแล้วออกไปอย่างพึงพอใจ
ฝ่ายมู่อ๋องหาได้แช่มชื่นยินดีเฉกเช่นรุ่ยอ๋องไม่ เขาขว้างถ้วยน้ำชาแตกไปหลายใบ จากนั้นเรียกตัวที่ปรึกษามาพูดคุยหารือกันลับๆ เป็นนานถึงสงบอารมณ์ลงได้
อีกด้านหนึ่ง ณ จวนของหลันซาน หลันซงเฉวียนก้าวเข้าไปในห้องหนังสือของบิดา ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงอำมหิตว่า “ท่านพ่อ โอกาสของพวกเรามาถึงแล้ว รุ่ยอ๋องไปเขาหลิงไถคราวนี้จะปล่อยให้เขามีชีวิตรอดกลับมาไม่ได้เด็ดขาด”
หลันซานเหลือบเปลือกตาขึ้น “เรื่องนี้มู่อ๋องคงร้อนใจกว่าพวกเรา”
หลันซงเฉวียนแค่นหัวเราะ “ร้อนใจจะมีประโยชน์อันใด มิใช่ข้าดูแคลนเขา ถ้าเศษสวะอย่างมู่อ๋องพรรค์นั้นทำได้สำเร็จก็ไม่ต้องรอถึงวันนี้แล้วขอรับ”
“เจ้าน่ะอารมณ์ร้อนเกินไปแล้ว
“เรื่องนี้มอบให้เป็นหน้าที่ข้าก็แล้วกันขอรับ” หลันซงเฉวียนลุกขึ้นเดินออกไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 ธ.ค. 65 เวลา 12.00 น.