“ฮูหยินทั้งหลาย วันนี้คงไม่อาจรับรองพวกท่านได้แล้ว” หวังซื่อฝืนทำกระฉับกระเฉงออกไปส่งแขก จากนั้นจับตัวบุตรชายที่ฟื้นสติแล้วกับหลานชายมาด่าว่าอย่างรุนแรง
ฮูหยินสกุลหวังได้ยินน้องสาวสามีพูดว่าบุตรชายตนชักพาให้ญาติผู้น้องเสียคนทั้งทางตรงทางอ้อมแล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างขุ่นเคือง “เจ้าพูดอย่างนี้ไม่ถูกนะ เด็กสองคนทำผิดก็อบรมสั่งสอนให้ดีๆ ไฉนโยนความผิดให้เจิ้นเอ๋อร์ทั้งหมดเล่า”
หวังซื่อยิ้มเยาะ “พี่สะใภ้กล่าวคำนี้ได้ไม่ละอายแก่ใจเลย เจิ้นเอ๋อร์ไม่ได้ผิดปกติเช่นนี้มาเพียงวันสองวัน จะให้ร้ายใครก็แล้วแต่ ไยถึงให้ร้ายญาติผู้น้องแท้ๆ ได้เล่า”
ฮูหยินสกุลหวังฟังแล้วยิ่งโกรธเกรี้ยว “นี่เจ้าพูดอะไรของเจ้า เจิ้นเอ๋อร์ตบแต่งภรรยามีบุตรได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เขาแค่ออกนอกลู่นอกทางบ้างเป็นบางครั้ง คุณชายของตระกูลใหญ่ๆ ในเมืองหลวงพวกนั้นล้วนเคยทำตัวเหลวไหลกันไม่น้อยตอนยังไม่รู้ความ แต่ภายหลังก็เป็นฝั่งเป็นฝาก้าวหน้าในหน้าที่การงานอยู่ดีมิใช่หรือ”
เมื่อคิดถึงตรงนี้รอยดูแคลนจุดวาบขึ้นในดวงตานางทันใด
นางยังฉงนใจอยู่ว่าบุตรชายคนเล็กของน้องสาวสามีแต่งงานมาหลายปีแล้วเหตุใดถึงไม่มีข่าวดีเสียที ที่แท้ไม่เห็นตนเองเป็นบุรุษนั่นเอง
“พี่สะใภ้อย่าพูดเช่นนี้เลย ถ้าเรื่องยังไม่เปิดเผยออกไปจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ แต่ตอนนี้เรื่องฉาวโฉ่ของพวกเขาสองคนรู้กันไปทั่วเมืองหลวงแล้ว ท่านเห็นว่าจะทำอย่างไรกันดีเถอะ”
ขณะที่คุยกันอยู่ผู้ดูแลผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน ยื่นสารฉบับหนึ่งให้หวังซื่อ “ฮูหยิน มีคนนำสิ่งนี้มามอบให้ท่านขอรับ”
หวังซื่อรับสารไว้ด้วยสีหน้าเฉยชาแล้วหยิบออกมาอ่าน เห็นบนแผ่นสารมีอักษรตัวใหญ่เขียนไว้สั้นๆ ว่า
‘ไม่สนองคืนย่อมเป็นการเสียมารยาท’
“นี่หมายความว่าอะไร” ฮูหยินสกุลหวังยื่นหน้ามาอ่านแล้วถามอย่างงุนงง
หวังซื่อราวกับโดนฟ้าผ่า นางกล่าวเสียงหลง “บุตรชายข้าโดนปรักปรำ เขาโดนปรักปรำ!”
“ใครปรักปรำหรือ”
“ฮูหยินของกวนจวินโหว”
“เหตุใดเจ้าบอกว่าเป็นฮูหยินของกวนจวินโหวเล่า”
หวังซื่อได้สติฉับพลัน นางรู้ตัวว่าพลั้งปากไปแล้วก็ทำท่าอึกๆ อักๆ พูดไม่ออก
ภายในเวลาสั้นๆ เรื่องฉาวโฉ่ของจวนเสนาบดีศาลยุติธรรมกับจวนรองหัวหน้ากองพระราชพิธีก็เล่าลือกันอื้ออึงจนกลบข่าวซุบซิบของจวนกวนจวินโหวไปแล้ว
ถึงอย่างไรข่าวลือที่ว่าฮูหยินของกวนจวินโหวกับคุณชายเฉียวมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันนั้นก็ยังไม่มีพยานหลักฐานจริงๆ ไหนเลยจะสร้างความฮือฮาเทียบได้กับบุรุษสองคนเปลือยกายอยู่ในห้องแล้วถูกคนโขยงหนึ่งจับได้คาหนังคาเขา มิหนำซ้ำทั้งสองคนยังเป็นคุณชายของตระกูลสูงศักดิ์และเป็นญาติผู้พี่ผู้น้องกันด้วย
ชั่วขณะเดียวคนในจวนเสนาบดีศาลยุติธรรมตั้งแต่เจ้านายไปจนถึงบ่าวไพร่ล้วนไม่มีหน้าออกไปที่ใด
ทว่าเรื่องยังไม่จบลงเท่านี้ ไม่นานนักสกุลเดิมของลูกสะใภ้คนเล็กก็บุกมาเยือนถึงที่
“ไม่ว่าอย่างไรวันนี้จวนของท่านก็ต้องให้คำอธิบายกับพวกข้าสักอย่าง ข้าเลี้ยงดูบุตรสาวจนเติบใหญ่ดุจดั่งแก้วตาดวงใจ นางออกเรือนมาที่ตระกูลพวกท่านสามสี่ปี แต่เพราะไม่มีบุตรเสียทีจึงต้องทนฟังวาจาเหน็บแนมถากถางของพวกท่านมามากเท่าไรก็สุดรู้ ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าบุตรชายท่านต่างหากที่ไม่เต็มใจเป็นบุรุษ ถ่วงรั้งบุตรสาวข้าต้องเสียเวลาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ตั้งหลายปี”
เดิมทีเพราะบุตรสาวไม่มีบุตรเรื่อยมา นางในฐานะแม่ยายมักต้องตกเป็นเบี้ยล่างให้หวังซื่อเสมอ ด้วยเหตุนี้นางจึงอยากกระโจนเข้าไปกัดอีกฝ่ายให้เนื้อหลุดใจจะขาด
มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าบุตรสาวของนางต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใดเพราะไม่มีบุตร ที่แท้ความจริงเป็นเช่นนี้นี่เอง!
ถึงใช้ดาบสังหารเจ้าลูกเต่าบัดซบผู้นั้นจริงๆ ก็ยังไม่หายแค้น!
สองตระกูลทะเลาะเบาะแว้งกันนานหลายวัน สุดท้ายปิดฉากลงที่สองฝ่ายตกลงหย่าร้างกัน
ต่อมาไม่นานพวกผู้ตรวจการต่างถวายฎีการ้องเรียนเสนาบดีศาลยุติธรรมว่าตระกูลเขาประพฤติตนผิดทำนองคลองธรรม ไม่กวดขันบุตรหลาน ฮ่องเต้หมิงคังซึ่งกำลังหงุดหงิดใจอยู่จึงสั่งพักราชการให้เขาปิดประตูจวนทบทวนความผิด
เสนาบดีศาลยุติธรรมอยู่ในราชสำนักมาครึ่งค่อนชีวิต ถูกสั่งพักราชการทบทวนความผิดโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้เขาย่อมเดือดดาลเจียนคลั่ง ครั้นซักไซ้ไล่เลียงจนรู้ตัวการก่อเหตุ เขาตบหน้าหวังซื่อจนล้มคว่ำกับพื้นแล้วเขียนหนังสือหย่าโดยไม่รอช้า
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 ธ.ค. 65 เวลา 12.00 น.