ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม เล่ม 10 บทที่ 767-769
บทที่ 768
เรือนร้างเป็นเงาตะคุ่มอยู่กลางดงไม้รกชัฏ ดวงไฟดวงเล็กๆ ดุจเมล็ดถั่วพอให้แสงสว่างรำไรแก่เรือนเก่าโทรม
ด้านในมีคนเจ็ดแปดคน หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์กวักมือเรียกคนที่นั่งอยู่ในมุมลึกสุด “เหล่าจิ่ว มานี่”
ชายฉกรรจ์ที่ถูกเรียกว่า ‘เหล่าจิ่ว’ เดินมาหา “พี่ใหญ่มีอะไรจะสั่งข้า”
“ข้าจำได้ว่าลูกน้องของเจ้าคนหนึ่งมีฝีพิษขึ้นใต้รักแร้ หมอบอกว่ามีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงสามเดือน เขาชื่อว่าอะไรนะ”
“ชื่อเถี่ยหนิว เขาอยากใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายอันน้อยนิดนี้อยู่เป็นเพื่อนมารดาและภรรยากับลูกเลยไม่ได้ทำงานกับพวกเราหนนี้”
“เจ้าไปตามเขามา”
“ได้เลย พี่ใหญ่รอสักครู่”
รอจนถึงหลังเที่ยงคืนเหล่าจิ่วพาชายฉกรรจ์ผอมสูงผู้หนึ่งเดินเข้ามา
เขาเห็นลูกพี่ใหญ่ก็รีบคารวะทักทาย
“เถี่ยหนิว พักนี้เจ้าสบายดีหรือไม่”
“ข้าสบายดี” เถี่ยหนิวก้มหน้าลง
“พวกเราเป็นพี่น้องกันทั้งนั้น เจ้ายังจะพูดเท็จอีก” เหล่าจิ่วชกเถี่ยหนิวเบาๆ จากนั้นเปิดเผยความจริงทั้งหมด “ข้าเห็นหมดแล้ว ในเรือนเจ้าแทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้ออยู่แล้ว ลูกเล็กเด็กแดงสี่ห้าคนต้องนอนเบียดกัน ดึกๆ ดื่นๆ เจ้าคนสุดท้องยังหิวจนร้องไห้กระจองอแง”
ขอบตาของเถี่ยหนิวแดงเรื่อขึ้นทีละน้อย เขาจะมีปัญญาทำอะไรได้เล่า มาตรว่าจะผาดโผนอยู่ในยุทธภพ กลับเป็นเพียงลูกสมุนปลายแถว เงินทองที่หามาได้ก็หมดไปกับการรักษาโรคนี้ของเขาแล้ว แต่ในเรือนนอกจากมารดาเฒ่าแล้วยังมีภรรยากับบุตรอีกห้าคนต้องเลี้ยงดู
เขาไม่กล้านึกภาพว่าพอเขาหมดลมในอีกสองสามเดือนให้หลัง ครอบครัวที่มีแต่เด็กเล็กคนชราจะอยู่กันต่อไปอย่างไร
“เหล่าลิ่ว” หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ส่งสายตาบอกชายฉกรรจ์หน้าดำข้างกาย
เขาผลักกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งไปตรงหน้าเถี่ยหนิวแล้วเปิดออกทันที
ในนั้นมีตั๋วเงินอัดแน่นเต็มกล่องปึกหนึ่ง
เถี่ยหนิวเบิกตาค้างทันใด เงินตั้งเยอะแยะถึงเพียงนี้ น่าจะมีเป็นพันตำลึงเลยมิใช่หรือ!
ตอนนี้เองหัวหน้ากลุ่มเอ่ยเข้าเรื่องแล้ว “เถี่ยหนิว เจ้าเคยติดตามข้ามาก่อน ข้าจะพูดตรงๆ เลยก็แล้วกัน เงินก้อนนี้ขอซื้อชีวิตเจ้า เอาหรือไม่”
เถี่ยหนิวนิ่งขึงไป เขาเงยหน้าขึ้นมองลูกพี่ใหญ่ เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายไม่คล้ายล้อเล่น เขาพยักหน้าโดยแทบจะไม่ลังเลใจสักนิด “เอา!”
อีกไม่นานชีวิตที่ไร้ค่าของเขาก็จะจบลงแล้ว ตายช้าตายเร็วจะมีอันใดต่างกัน ตายตอนนี้แล้วหาเงินได้ก้อนใหญ่ถึงเพียงนี้เหลือทิ้งไว้ให้ครอบครัว เขาไม่เอาก็เบาปัญญาแล้ว
“เจ้าวางใจได้ วันหน้าพวกข้าจะช่วยดูแลครอบครัวเจ้าเอง”
“พี่ใหญ่ ท่านสั่งมาได้เลย” เถี่ยหนิวคุกเข่าลงดังตุบ
หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์กวักมือเรียกเขามาใกล้ๆ แล้วกระซิบสั่งบางอย่าง
พวกเซ่าจือออกจากเรือนร้างแล้วเร่งรุดกลับไปที่เรือนชาวบ้าน
คนสามคนที่ถูกมัดไว้กำลังดิ้นขลุกขลักพลางส่งเสียงร้องอู้อี้ พอเห็นพวกเซ่าจือเข้ามาก็เงียบเสียงลงทันที
เซ่าจือทำมือบอกผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดึงผ้าขี้ริ้วที่ยัดปากสามคนนั้นออกแล้วบอกกับพวกเขาว่า “ข้าจะปล่อยพวกเจ้ากลับไป”
ทั้งสามทำหน้าไม่เชื่อ
เซ่าจือหัวร่อเบาๆ “เอาตัวพวกเจ้าไว้ก็เปลืองข้าวสุกเปล่าๆ แต่พวกเจ้าคงรู้ว่าทำเงินหายแล้วยังทำงานไม่สำเร็จ ใต้เท้าหลันของพวกเจ้าจะลงโทษพวกเจ้าเช่นไรกระมัง”
ใบหน้าของทั้งสามซีดเผือดไปทันใด
“แล้วก็อย่าคิดจะทำคุณไถ่โทษด้วย พวกเจ้าไม่รู้แม้แต่ว่าพวกข้าเป็นใครมาจากที่ใด จะสร้างความชอบอะไรได้” ถ้อยคำนี้ของเซ่าจือทำให้ทั้งสามแทบน้ำตาไหลรินลงมา
เซ่าจือให้เวลาพวกเขาขบคิดตามครู่หนึ่งค่อยพูดต่อ “ถึงพวกข้าไม่ได้ยื่นมือเข้ามาและพวกเจ้าทำงานสำเร็จลุล่วง แล้วนึกหรือว่าจะได้รับรางวัล ด้วยวิสัยของใต้เท้าหลันของพวกเจ้า เกรงว่าถ้าไม่ฆ่าปิดปากก็คงขับไล่พวกเจ้าไปไกลสุดขอบฟ้าต่างหาก”
ครั้นฟังถึงตรงนี้ทั้งสามคนยืนทรงตัวไม่อยู่แล้วจริงๆ แต่ละคนหน้าซีดตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า
หนึ่งในนั้นแข็งใจกล่าวขึ้นว่า “หัวหน้าของพวกข้าบอกแล้วว่าพองานสำเร็จจะมอบเงินให้พวกข้าคนละก้อนหนึ่งและเตรียมการให้พวกข้าออกจากเมืองหลวงในราตรีนี้”
“อย่างนั้นก็ดีเลย” เซ่าจือยกยิ้มก่อนหยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมาวางตรงหน้าคนทั้งสาม “ตั๋วเงินพวกนี้พวกเจ้าเอาไปแบ่งกันแล้วกลับไปรายงานว่าทำงานสำเร็จได้ตามเดิม จากนั้นก็จากไปไกลสุดขอบฟ้าพร้อมกับเงินสองก้อนมิใช่หรือ กว่าใต้เท้าหลันของพวกเจ้าจะเฉลียวใจ พวกเจ้าก็ออกจากเมืองหลวงไปตั้งไกลแล้ว แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล ยังต้องกลัดกลุ้มใจว่าจะไม่มีที่ไปหรือ”
ทั้งสามอดสบตากันไม่ได้
เซ่าจือยังเอามีดสั้นเล่มหนึ่งวางเบื้องหน้าพวกเขา ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงกระด้างขึ้น “พวกข้าล้วนเป็นคนจิตใจดี ไม่อยากฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่แน่นอนว่าถ้าพวกเจ้าดึงดันจะรนหาที่ตาย ข้าก็พร้อมจะส่งเสริมให้สมหวัง”
“พวกข้าจะกลับไป!” หนึ่งในนั้นคว้าตั๋วเงินมายัดใส่อกเสื้อทันที
รอเมื่อทั้งสามเดินคอตกอย่างสิ้นท่าเข้าสู่ม่านราตรีไป เซ่าจือก็เปล่งเสียงหัวร่อ “ไป นำตั๋วเงินกลับไปให้ฮูหยินกัน”
แสงโคมในห้องหนังสือของหลันซงเฉวียนยังสว่างไสวจวบจนคนสนิทมารายงานตัว เขาถึงนอนกอดอนุเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์อย่างแสนสุข
เฉียวเจาได้ยินปิงลวี่มาบอกความแต่เช้าตรู่ว่าเฉินกวงขอพบ นางทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยถึงไปพบเขาที่โถงหน้า
“มีข่าวของท่านแม่ทัพแล้วหรือ”
“อ้อ ท่านแม่ทัพกำลังจะมาถึงเมืองหลวงในเร็ววันนี้แล้วขอรับ”
หญิงสาวฟังแล้วเผยรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “พวกรถม้าเตรียมไว้พร้อมแล้ว ไว้ตอนท่านแม่ทัพใกล้จะถึงชานเมืองหลวงข้าค่อยไปรับ”
“ฮูหยินวางใจได้ เตรียมการไว้พร้อมสรรพแล้ว ที่ข้ามาตอนนี้มีบางสิ่งจะมอบให้ท่านขอรับ”
“จะให้อะไรข้าหรือ”
เฉินกวงยื่นตั๋วเงินกล่องหนึ่งส่งให้แล้วเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนอย่างออกรสออกชาติ
เฉียวเจาเลื่อนกล่องใบนั้นกลับไปแล้วกล่าวยิ้มๆ “พวกเจ้าเอาไปแบ่งกันเถอะ หลายวันมานี้คงเหน็ดเหนื่อยกันทุกคน”
เฉินกวงนิ่งงันไป “ให้…ให้พวกข้าหมดเลยหรือขอรับ”
“ใช่สิ ไหนบอกว่าถึงวัยสมควรตบแต่งภรรยาแล้วไม่ใช่หรือ เอาไปใช้เป็นเงินสินสอดได้พอดี”
ในกล่องมีตั๋วเงินราวสองหมื่นตำลึงเป็นอย่างน้อย แต่เฉียวเจาไม่สนใจเรื่องเงินทองมาแต่ไหนแต่ไร ในเมื่อพวกองครักษ์ฉกชิงเงินก้อนนี้มาได้ก็ให้พวกเขาแบ่งกัน นางย่อมไม่นึกเสียดายอยู่แล้ว
“ขอบคุณฮูหยินขอรับ” ตอนเฉินกวงถือกล่องด้วยสองมือเดินออกไป สองเท้าของเขาเบาหวิวจนตัวเซเอาหน้าผากไปชนกระแทกกรอบประตูดังปึง
เสียงหัวเราะในลำคอของปิงลวี่ดังมาจากทางด้านหลัง
เฉินกวงคลำหน้าผากป้อยๆ แล้วออกจากห้องไปด้วยท่าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มีเงินสินสอดแล้ว ภรรยายังจะไกลเกินเอื้อมอีกหรือ
ติดตามฮูหยินถึงมีกินมีใช้จริงๆ
ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของรัชศกหมิงคังปีที่ยี่สิบเจ็ดถูกลิขิตให้เป็นปีที่มีข่าวลือซุบซิบแพร่สะพัดไม่ขาดสาย ทำให้ผู้รอชมเรื่องสนุกพากันโห่ร้องด้วยความสาแก่ใจ กระทั่งราคาเมล็ดแตงในเมืองหลวงยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างเงียบๆ
บุตรชายของหลันซานสมุหราชเลขาธิการของราชวงศ์นี้ถึงกับถูกเหล่าวีรบุรุษแห่งขุนเขา* ฟ้องร้องแล้ว!
เหตุผลของเรื่องนี้ยังสร้างความฮือฮาในหมู่ผู้คนมากขึ้น เพราะคนกลุ่มนี้เป็นหัวหอกพาคนเร่ร่อนบุกโจมตีรุ่ยอ๋องระหว่างทางกลับเมืองหลวงนั่นเอง
“ข้าไม่รู้ว่าใครเป็นผู้บงการกันแน่ แต่คนที่ว่าจ้างให้พวกข้าทำงานคือคนของจวนสกุลหลัน แต่สุดท้ายพองานสำเร็จแล้วพวกเขากลับไม่จ่ายเงิน ทั่วทั้งใต้หล้านี้หามีผู้ไร้ศีลธรรมจรรยาเยี่ยงนี้ไม่”
“อะไรนะ! นี่คือพวกเจ้ามามอบตนเองหรือ”
“ใช่แล้วจะมีอันใด ถึงอย่างไรไม่ได้เงิน ลูกพี่ของพวกข้าก็ไม่ละเว้นข้าอยู่ดี ในเมื่อต้องตายทั้งขึ้นทั้งล่อง ข้าไม่ยอมให้คนที่โกงเงินพวกข้าลอยนวลอยู่หรอก”
หยางอวิ้นจือรองเสนาบดีกรมอาญาควบตำแหน่งผู้ว่าการที่ว่าการซุ่นเทียนเจอกับคดีแปลกพิสดารเฉกนี้แทบผมร่วงหมดทั้งศีรษะ แต่เพราะเกี่ยวพันถึงบุตรชายของสมุหราชเลขาธิการหลัน เขาจึงเร่งรีบนำเรื่องรายงานต่อเบื้องบนขึ้นไปเป็นชั้นๆ
และเพราะเรื่องนี้แปลกพิสดารเหลือเกิน เพิ่งผ่านไปครึ่งวันก็แพร่กระจายไปทุกตรอกซอกซอยในเมืองหลวงแล้ว
ยามนี้หลันซงเฉวียนนอนอยู่บนตั่งด้วยสีหน้าสำราญใจ มีอนุสวมแต่เสื้อเอี๊ยมบังทรงกับกางเกงผ้าไหมหลายคนบ้างนวดขาทุบไหล่ บ้างป้อนน้ำกับของกิน รุมล้อมปรนนิบัติพัดวีเขาอย่างถึงอกถึงใจ
ทันใดนั้นประตูถูกถีบเปิดออก เหล่าอนุตกใจร้องอุทานพลางวิ่งไปซ่อนตัวกันจ้าละหวั่น
หลันซานเดินกระย่องกระแย่งเข้ามา สะบัดฝ่ามือตบหน้าบุตรชายฉาดหนึ่ง “เจ้าลูกบัดซบ! ด้านนอกเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว เจ้ายังอยู่ที่นี่มัวเมาไม่ลืมหูลืมตาอีก!”