ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม เล่ม 10 บทที่ 767-769
บทที่ 769
หลันซงเฉวียนถูกบิดาตบหน้าก็งุนงงไปหมด
หลันซานชี้หน้าด่าเขาเสียงดังลั่น “เจ้าไปพัวพันกับคนจำพวกใดกัน มีแต่พวกอันธพาลไร้สติปัญญา! ส่วนเจ้าก็เลอะเลือนนัก รู้ทั้งรู้ว่าเจ้าพวกนั้นทำงานเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายก็รีบๆ จ่ายเงินไล่กลับไปเสีย แต่นี่เจ้ากลับโกงเงินพวกเขา ทีนี้เป็นอย่างไรเล่า รองเสนาบดีกรมโยธาโดนโจรป่าฟ้องร้อง ช่างเชิดหน้าชูตาเสียนี่กระไร!”
“โกงเงินอะไร แล้วโดนโจรป่าฟ้องร้องคืออะไรขอรับ” หลันซงเฉวียนงุนงงมากขึ้น พอไต่ถามได้ความกระจ่างเขาก็เต้นผางๆ “ท่านพ่อ เรื่องนี้มีคนวางอุบายเล่นงานข้า!”
เขารีบเรียกคนสนิทมาถามให้รู้เรื่อง หลังกระจ่างแจ้งก็ตามหาสามคนนั้น แต่พวกเขาออกจากเมืองหลวงไปนานแล้ว
หลันซงเฉวียนวางอำนาจบาตรใหญ่ทั้งในและนอกราชสำนักมานานหลายปี เคยต้องทนยอมเสียเปรียบอย่างนี้ที่ใดกัน เขาย่ำเท้าวนไปวนมาด้วยความหัวเสีย
“นี่ก็ไม่มีอะไร คำพูดของโจรป่าผู้หนึ่งใครจะถือเป็นจริงเป็นจัง พวกเขาไม่มีหลักฐานสักหน่อย” พอสงบสติอารมณ์ลงได้เล็กน้อยหลันซงเฉวียนก็ทุบเท้าแขนเก้าอี้
หลันซานกลับไม่มองในแง่ดีเช่นบุตรชาย เขากล่าวทอดถอนใจ “เกรงแต่ว่าคนอื่นจะอ้างจุดนี้มาทำเป็นเรื่องใหญ่น่ะสิ”
ในช่วงเวลานานหลายปีมานี้ที่กุมอำนาจในราชสำนัก โดยเฉพาะเวลาประชุมขุนนาง เคยมีคนที่เรียกกันว่าเป็นขุนนางสุจริตกับแม่ทัพที่จงรักภักดีถวายฎีการ้องเรียนสองพ่อลูกเป็นจำนวนไม่น้อย แต่พวกเขาก็อยู่รอดปลอดภัยมาโดยตลอด
อาศัยสิ่งใดเล่า แน่นอนว่าคือความโปรดปรานของฮ่องเต้
แม้นไม่กี่ปีมานี้คนที่กล้าหาเรื่องพวกเขาพ่อลูกนับวันยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ ทว่าในใจของหลันซานกลับหนักอึ้งอยู่บ้าง เพราะเขารับรู้ได้อย่างเฉียบไวว่าในช่วงปีสองปีมานี้ความโปรดปรานที่ฮ่องเต้มีต่อพวกเขาเทียบกับในกาลก่อนไม่ได้แล้ว
สำหรับท่านผู้นั้นถูกผิดมักไม่สำคัญ ถูกใจต่างหากถึงสำคัญ
การดุด่าตำหนิและตัดเบี้ยหวัดหลายครั้งติดๆ กันทำให้หลันซานรู้สึกรางๆ ว่าชักไม่ได้การ
และแล้วลางสังหรณ์ของหลันซานก็กลายเป็นความจริงอย่างรวดเร็ว หลันซงเฉวียนถูกโจรป่าฟ้องร้องเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ถึงแม้โจรผู้นั้นโดนจับเข้าคุกหลวงรอรับโทษประหาร แต่ไม่นานนักก็มีคนถวายฎีการ้องเรียนหลันซงเฉวียนอีก
คนที่ถวายฎีการ้องเรียนหลันซงเฉวียนคือฉือชั่นบุตรชายขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงนั่นเอง
ฉือชั่นปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งข้าหลวงตรวจสอบกรมโยธานี้เรียกได้ว่าเสมือนปลาได้น้ำ ในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งปีเขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘จอมจับผิด’ จนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาแล้ว
ในราชสำนักมีขุนนางทัดทานที่ตั้งข้อกล่าวหาทุกสองวันถวายฎีการ้องเรียนทุกสามวันผู้หนึ่งเช่นนี้ พวกเขาจะรู้สึกกดดันมากก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้
ข้อกล่าวหาที่ฉือชั่นฟ้องร้องหลันซงเฉวียนในครั้งนี้คือให้ร้ายอดีตผู้ตรวจการโอวหยางไห่ลับหลัง และเอาตัวโอวหยางเวยอวี่บุตรสาวของเขาไปขายให้หอคณิกา
โอวหยางไห่เคยเป็นผู้ตรวจการของสำนักตรวจการนครหลวง สองปีก่อนเขาโดนเนรเทศไปที่เมืองเป่ยติ้งเพราะถวายฎีการ้องเรียนหลันซานกับบุตรชาย ครึ่งปีก่อนกลับสิ้นชีพอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวของคนทั้งครอบครัวเขาอีกเลย
ระยะนี้อารมณ์ของฮ่องเต้หมิงคังขุ่นมัวอยู่ตลอดเพราะยังไม่รู้ชะตากรรมของรุ่ยอ๋อง คิดไม่ถึงว่าหลันซงเฉวียนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ส่วนว่ามันเป็นความจริงหรือไม่เขาหาได้สนใจไม่ ตอนนี้พอเขาเห็นหลันซงเฉวียนแล้วก็ต้องขัดหูขัดตาเป็นแน่
เหตุไฉนโจรป่าพวกนั้นไม่พาดพิงถึงคนอื่น จำเพาะต้องพาดพิงถึงหลันซงเฉวียนด้วยเล่า
พูดได้ว่าฉือชั่นถวายฎีกาในจังหวะที่เหมาะเจาะยิ่งนัก ฮ่องเต้หมิงคังฟังแล้วเหลือบเปลือกตาขึ้น โบกมือสั่งให้สามตุลาการสืบสวนเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด
ในโถงศาลโอวหยางเวยอวี่บุตรสาวของโอวหยางไห่สวมอาภรณ์สีขาวทั้งชุด กล่าวฟ้องร้องความผิดของหลันซงเฉวียนด้วยสุ้มเสียงแกมสะอื้น
“คุณหนูโอวหยาง ท่านบอกว่าบิดาของท่านตายเพราะรองเสนาบดีหลัน มีหลักฐานหรือไม่”
โอวหยางเวยอวี่ฟังแล้วในดวงตาฉายแววเคียดแค้นเข้ากระดูกดำวูบขึ้น
นางย่อมไม่มีหลักฐานมัดตัวอีกฝ่าย แต่เพียงตรองดูก็ต้องรู้ว่าคนที่เป็นต้นเหตุให้บิดาของนางจบชีวิตพวกนั้นจะทิ้งหลักฐานไว้ได้อย่างไร แต่นางมั่นใจว่าเป็นฝีมือของเจ้าเดรัจฉานแซ่หลัน
โอวหยางเวยอวี่มองไปทางหลันซงเฉวียนที่นั่งอยู่ด้านข้าง
เขาเหยียดยิ้มอย่างดูแคลนนาง
ไม่ผิด เขาเป็นคนสั่งให้สังหารโอวหยางไห่จริงๆ เขาเพียงอยากให้คนที่ยกตนว่ากระดูกแข็งพวกนั้นได้รู้ว่าก่อนจะตอแยกับพวกเขาพ่อลูกต้องคิดให้แจ่มแจ้งว่าต้องแลกกับอะไรบ้าง ถ้าทนเห็นบ้านแตกสาแหรกขาดได้ไหวค่อยว่ากัน
สังหารโอวหยางไห่เป็นเพียงการเชือดไก่ให้ลิงดู สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องแสนง่ายดายธรรมดาเหมือนการกินข้าวสักมื้อ ไหนเลยจะทิ้งหลักฐานเอาไว้เล่า
ยามนี้เขากลับอยากดูนักว่านางหญิงชั้นต่ำผู้นี้จะกล่าวหาเขาอย่างไร
“วันนั้นบิดาของข้ากลับจากสำนักศึกษายังปกติดีอยู่ชัดๆ แต่ตกดึกจู่ๆ ก็เริ่มกระอักเลือดทีละคำใหญ่ๆ ก่อนสิ้นลมท่านกล่าวทิ้งไว้คำหนึ่งว่าขนมโก๋ที่ลูกศิษย์ชื่อว่าชุยจยามอบให้ท่านมีปัญหา…”
โอวหยางเวยอวี่เช็ดน้ำตาก่อนกล่าวต่อ “บิดาข้าเพียงทันได้กล่าวคำนั้นจบก็จากไป ส่วนมารดาข้าเป็นลมล้มพับไปทันที วันต่อมาพี่ชายข้าไปถามหาลูกศิษย์ชื่อว่าชุยจยาผู้นั้นถึงรู้ว่าเขามาที่สำนักศึกษาได้ไม่กี่วัน ตอนนี้จะตามหาคนผู้นั้นกลับไม่พบตัวแล้ว”
เล่าถึงตรงนี้นางกัดริมฝีปากสุดแรง ตัวสั่นสะท้านน้อยๆ “ชุยจยาอ้างว่าตนฐานะยากจน คุกเข่าอยู่นอกสำนักศึกษานานสองชั่วยามจนบิดาข้าบังเกิดความสงสารถึงรับเขาเอาไว้ มิหนำซ้ำยังไม่เก็บเงินเขาสักแดงเดียว แม้แต่พู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกล้วนเป็นบิดาข้าจัดเตรียมให้เขาทั้งหมด น่าเศร้าที่บิดาข้ากลับชักศึกเข้าเรือน…”
โอวหยางเวยอวี่มีน้ำตาคลอเบ้า นางเงยหน้าขึ้นสบตาหยางอวิ้นจือรองเสนาบดีกรมอาญาซึ่งทำหน้าที่เป็นตุลาการ “ใต้เท้า ชุยจยามาถึงอย่างกะทันหันแล้วก็หายตัวไปอย่างมีพิรุธ อีกทั้งก่อนบิดาข้าตายยังบอกชัดว่าขนมโก๋ที่เขามอบให้มีปัญหา หรือว่านี่ยังบ่งบอกไม่ได้ว่าบิดาข้าถูกคนสังหารเจ้าคะ”
หลันซงเฉวียนฟังถึงตรงนี้แล้วแค่นหัวร่อเสียงหนึ่ง เขากวาดตามองหยางอวิ้นจือด้วยสายตาเรียบเฉย
หยางอวิ้นจือนึกสงสารเห็นใจสตรีที่คุกเข่ากับพื้นอยู่บ้าง
แม่นางน้อยผู้นี้ยังอายุน้อยกว่าหลานสาวของเขากลับต้องพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ เรียกได้ว่าตกอยู่ในสภาพน่าอนาถใจเหลือหลาย แต่อย่างไรนางยังไร้เดียงสานัก ไม่มีพยานหลักฐานจะฟ้องร้องเอาผิดหลันซงเฉวียนได้อย่างไร สุดท้ายเกรงว่ายังต้องโดนลงโทษเพราะใส่ร้ายผู้อื่นด้วยซ้ำ
“คุณหนูโอวหยาง จากที่ท่านกล่าว ลูกศิษย์ชื่อชุยจยาผู้นั้นอาจมีปัญหา แต่นี่เกี่ยวอันใดกับรองเสนาบดีหลันหรือ”
โอวหยางเวยอวี่หัวเราะเศร้าๆ “จะไม่เกี่ยวข้องกับเขาได้เช่นไร ภายหลังข้ากับพี่ชายจัดพิธีศพของบิดาพร้อมกับแจ้งทางการตามหาชุยจยาไปด้วย ใครจะรู้ว่ามีวันหนึ่งข้าถูกคนตีศีรษะสลบ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็อยู่ในหอคณิกาใหญ่ที่สุดในเมืองเป่ยติ้งไปแล้ว”
สายตาของคนในศาลที่มองไปทางโอวหยางเวยอวี่แฝงรอยแปลกๆ ระคนสงสารเวทนา
เคยเป็นบุตรสาวของผู้ตรวจการ บัดนี้กลับตกต่ำไปอยู่ในหอคณิกา เป็นชะตากรรมที่น่าสะเทือนใจยิ่ง
โอวหยางเวยอวี่ราวกับไม่แยแสสายตาเป็นนัยๆ ของทุกคน เหยียดแผ่นหลังตรงจ้องหน้าหลันซงเฉวียนเขม็ง “ข้าอยู่เหมือนตายทั้งเป็นในหอคณิกาสามวัน ในที่สุดก็ได้รับแขกคนแรก คนผู้นั้นคือเขา หลันซงเฉวียน บุตรชายของสมุหราชเลขาธิการหลันซาน!”
ถ้อยคำนี้ดังขึ้นในโถงศาลเกิดเสียงเซ็งแซ่ดังขรม ทุกคนพากันมองไปทางหลันซงเฉวียน
เขาพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย แม้แต่หางคิ้วก็ไม่กระดิกสักนิด “ถ้าพูดแต่ปากก็กล่าวโทษผู้อื่นได้ เช่นนั้นในคุกหลวงจะคุมขังผู้บริสุทธิ์ที่ถูกใส่ความไว้มากมายเท่าไรก็สุดรู้ ใต้เท้าหยาง ท่านปล่อยให้แม่เด็กน้อยผู้หนึ่งกล่าววาจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อน ดูหมิ่นขุนนางคนสำคัญของราชสำนักในศาลตามใจชอบหรือ”
เขาเสพสุขกับบุตรสาวของโอวหยางไห่แล้วมีอันใด ก็เขาตั้งใจจะเอาชีวิตคนที่เป็นปฏิปักษ์กับเขาแล้วยังเสพสุขกับบุตรสาวของคนผู้นั้น ให้คนที่งัดข้อกับเขากลายเป็นผีแล้วต้องหวาดกลัวและนึกเสียใจภายหลัง แต่กลับทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว!
ขณะเดียวกันก็ให้คนที่มีชีวิตอยู่ชั่งน้ำหนักให้ดีๆ ถึงจุดจบของการล่วงเกินเขา
“นั่นสิ คุณหนูโอวหยาง ท่านกล่าวทั้งหมดนี้โดยไร้หลักฐาน นั่นคือการใส่ร้ายขุนนางของราชสำนัก ต้องได้รับโทษนะ” หยางอวิ้นจือกล่าวเสียงขรึม
โอวหยางเวยอวี่สั่นเทิ้มไปทั้งร่างไม่หยุด ดวงตาที่จับจ้องหลันซงเฉวียนวาวโรจน์แทบจะเหมือนมีเปลวไฟลุกโชนอยู่
ท่ามกลางสายตาที่มองมาของทุกคน นางเหยียดยิ้มฉับพลัน “ใครบอกว่าข้าไม่มีหลักฐาน ข้ามี!”
* วีรบุรุษแห่งขุนเขา หมายถึงกลุ่มคนที่หนีขึ้นไปอยู่บนป่าแล้วดักปล้นคนรวยช่วยเหลือคนจน บางครั้งยังหมายถึงโจรป่า
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนธันวาคม 65)