บทที่ 10
เฉียวเจาแบมือออกพร้อมกับเหลียวซ้ายแลขวา
หยางโฮ่วเฉิงเป็นคนใจร้อน เขาถามนางอย่างอดรนทนไม่ไหว “มองหาอะไรอยู่เล่า หรือว่าเจ้าทำภาพวาดหายไปแล้ว”
ข้ออ้างนี้ฟังไม่ขึ้นสักเท่าไรจริงๆ
แม่นางน้อยไม่เหลือบตาขึ้น นางกล่าวเสียงเรียบ “ภาพวาดมิได้หายไป ข้ากำลังมองหา ‘สมบัติ’ เจ้าค่ะ”
สมบัติ? ทั้งสามคนนิ่งงันไป
“‘สมบัติ’ ที่ว่ามันคืออะไรกัน” หยางโฮ่วเฉิงคิดว่ามีนัยซ่อนอยู่ จึงไต่ถามต่อทันที
นัยน์ตาคู่งามดั่งสายน้ำสารทฤดูของเด็กสาวมองกวาดไปทางฉือชั่น นางพูดไขความกระจ่างอย่างมีน้ำอดน้ำทน “สมบัติที่ว่านี้ก็คือ สมบัติผู้ดีเจ้าค่ะ”
ครานี้ทั้งสามคนล้วนเข้าใจแล้ว จูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงสบตากันก่อนมองไปทางฉือชั่นพร้อมกัน จากนั้นปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างสุดจะกลั้น
ดวงหน้าขาวเนียนดุจหยกของฉือชั่นเปลี่ยนจากปึ่งชาเป็นบูดบึ้งอย่างรวดเร็ว
นับแต่พานพบแม่นางน้อยผู้นี้ จำนวนครั้งที่เขาโดนสหายรักรวมหัวกันหัวเราะเยาะเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน
เขาก้าวปราดๆ ไปตรงหน้าเฉียวเจา ยื่นมือจับปลายคางเรียวเล็กของนาง “บังอาจ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ พูดหยั่งเชิง “ผู้มีพระคุณ?”
โทสะของคุณชายฉือที่ทบทวีขึ้นอย่างรวดเร็วคล้ายลูกหนังถูกสูบลมจนโป่งพองเต็มที่แล้วถูกเข็มเจาะแตกในชั่วอึดใจ เขาขึงตามองสาวน้อยตรงหน้าที่ยังสูงไม่ถึงใต้รักแร้ตนแล้วมุมปากกระตุกริก ปล่อยมือออกเงียบๆ
แม่นางน้อยผู้นี้เกิดมาเพื่อเป็นดาวข่มข้าเป็นแน่แท้กระมัง
เสียงหัวเราะขลุกขลักในลำคอของสองสหายรักลอยมากระทบใบหู ฉือชั่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่งก่อนสะบัดแขนเสื้อออกเดินไป
จวบจนเขาลับร่างไปตรงหน้าประตูทางเข้าห้องในตัวเรือ หยางโฮ่วเฉิงแทบจะหัวร่องอหาย เขาบอกกับเฉียวเจา “แม่นางน้อย วันหน้าพี่ชายคอยคุ้มหัวเจ้าเอง”
คนที่เล่นงานฉือชั่นจนหน้าหงายได้บ่อยๆ ช่างหาได้ยากเหลือเกินจริงๆ
เฉียวเจาย่อกายคารวะ “ขอบคุณพี่หยางที่ให้ความเอ็นดูเจ้าค่ะ”
จูเยี่ยนทำปากขมุบขมิบอยากจะบอกอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายเขามองหยางโฮ่วเฉิงแล้วไม่เปล่งเสียงพูดอีก
ตรงหัวเรือเพิ่งอยู่ในความสงบสุขครู่เดียว ฉือชั่นก็ทะยานกายออกจากใต้ห้องในตัวเรือประหนึ่งพายุหมุนวูบหนึ่ง ส่งผลให้พวกจูเยี่ยนที่รู้จักนิสัยเขาดีพากันสะดุ้งตกใจ
“ขโมยขึ้นใช่หรือไม่ หรือว่าเจอพวกโจรสลัดวอโค่ว* แล้ว?” หยางโฮ่วเฉิงเอามือขวาจับฝักดาบตรงเอวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“โจรสลัดอะไรกัน พวกเจ้าตามข้าเข้ามาเร็วเข้า” ฉือชั่นตะโกนบอกคำหนึ่งแล้วหมุนกายย้อนกลับไปทางเดิม
หยางโฮ่วเฉิงเดินไปข้างในพลางพูดพึมพำ “ตรงนี้ห่างจากเมืองฝูตั้งไกล ข้านึกไว้แล้วเชียวว่าไม่มีทางเจอพวกวอโค่ว”
แคว้นต้าเหลียงหาได้อยู่ในยุคบ้านเมืองสงบสุขปวงประชาร่มเย็น ทิศเหนือมีชาวต๋าหลู่** บุกมารุกรานปล้นสะดมบ่อยๆ โจรสลัดวอโค่วริมทะเลทิศใต้ก็เป็นเภทภัยบ่อนทำร้ายแผ่นดิน หลายปีมานี้ชาววอโค่วยิ่งมายิ่งก่อความเดือดร้อนรุนแรงมากขึ้น จนกลายเป็นเรื่องที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่ราชสำนัก
เฉียวเจามองดูร่างคนทั้งสามหายลับไปที่หน้าประตูทีละคนแล้วติดตามไปด้วยสีหน้านิ่งสนิท
“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน” จูเยี่ยนที่สุขุมเยือกเย็นเสมอมา หากชั่วขณะที่มองภาพเป็ดเล่นน้ำบนโต๊ะในห้องหนังสือภาพนั้นแล้วกลับควบคุมตัวเองไม่อยู่
ด้านหยางโฮ่วเฉิงก็เริ่มเอะอะโวยวาย “ผีหลอกหรืออย่างไร ข้าจำได้ชัดๆ ว่าตรงนี้มีคราบหมึกรอยหนึ่ง”
เขาพูดพร้อมกับยื่นมือไปจะสัมผัส