บทที่ 10
ทันใดนั้นเขาฉุกคิดขึ้นได้ว่าบุตรสาวตาบอดมองไม่เห็น ทั้งยังอยู่อย่างโดดเดี่ยวในชนบทสองปี ในใจคงขาดที่พึ่งพาเช่นกัน
หญิงตาบอดที่เริ่มอายุมากล้วนหมดหวังกับตนเองจนต้องฝากชีวิตไว้กับเงินทอง คงไม่ต่างกับขันทีในวังหลวงที่ละโมบเงินทองหลังจากหมดบารมี
ต้องโทษติงเพ่ยที่ใจร้อนเกินไป จะส่งนางกลับชนบทเร็วเพียงนี้ มิหนำซ้ำยังคิดจะปลดคนสนิทข้างกายของนางอีก เป็นใครก็ต้องวิ่งพล่านเหมือนสุนัขถูกน้ำร้อนลวก
เมื่อชั่งน้ำหนักดีแล้ว ซูหงเหมิงก็เอ่ยปากขึ้นในที่สุด “พอเสียทีเถิด ข้ายังมีลมหายใจอยู่ เจ้าทำเหมือนร้องไห้หน้าศพเช่นนี้ไปเพื่ออันใด ถ้าเจ้าคิดตำรับขี้ผึ้งหอมที่เข้าท่าออกมาได้จริงๆ จะตกรางวัลให้เจ้าก็เป็นเรื่องสมควร…แต่เจ้าขอหุ้นสามส่วนก็ไม่รู้จักหนักเบาเกินไป อย่างมากวันข้างหน้าในร้านขายขี้ผึ้งหอมใหม่ได้เท่าไรก็แบ่งกำไรให้เจ้าสองส่วน นี่เพียงพอให้เจ้าใช้สอยแล้ว สตรีนางหนึ่งจะเอาเงินมากมายเช่นนั้นไปทำอะไร พวกบุรุษที่ดื่มสุราเคล้านารีทุกวันยังไม่สิ้นเปลืองถึงเพียงนั้น”
ซูลั่วอวิ๋นเห็นบิดายอมตกปากรับคำแล้วนางก็ค่อยๆ หยุดสะอื้นไห้
ไม่เสียแรงที่นางหยดน้ำมันสมุนไพรหลายหยดบนผ้าเช็ดหน้าไว้ล่วงหน้า พอแตะที่หางตาก็ขอบตาแดงเรื่อด้วยความแสบทันใด มิฉะนั้นมารยาบีบน้ำตาพรรค์นี้ ชั่วชีวิตนี้นางฝึกอย่างไรก็ไม่มีวันทำได้
นางรู้จักบิดาดี บิดาละเอียดถี่ถ้วนเรื่องเงินทองมาก ไม่เคยยอมเสียเปรียบแม้สักเศษเสี้ยว!
ฉะนั้นพอซูหงเหมิงรับคำแล้วนางก็ไม่ดึงดันขอเงินมากขึ้นอีก ยอมรับกำไรสองส่วนจากขี้ผึ้งหอมกลิ่นใหม่แต่โดยดี ทว่านางยังมีคำขออีกเรื่องหนึ่ง…ฮูหยินใหญ่พูดมีเหตุผล ในช่วงหลายวันที่น้องสาวของนางจะออกเรือนนั่น นอกเรือนในเรือนจะต้องมีคนพลุกพล่านเป็นแน่ นางคงไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุข
นางอยากให้บิดาซื้อเรือนให้หลังหนึ่ง ไม่ต้องมีพื้นที่กว้างใหญ่และไม่จำเป็นต้องอยู่ในย่านคึกคักรุ่งเรือง แค่อยู่ได้อย่างสบายกายใจก็พอ
นางชมชอบความเงียบสงบ เมื่อบิดาซื้อเรือนให้ก็จะย้ายออกไปอยู่ตามลำพัง แน่นอนว่าโฉนดเรือนต้องเป็นชื่อของนาง
ซูหงเหมิงเคยชินกับความเจ้าปัญหาของบุตรสาวคนโตแล้ว แต่วันนี้นางก่อความวุ่นวายไม่หยุดหย่อน ชวนให้เขาเหลืออดจริงๆ
พอได้ยินซูลั่วอวิ๋นเรียกร้องอย่างได้คืบจะเอาศอกเช่นนี้ เขาก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมลง “สตรียังไม่ออกเรือนผู้หนึ่งจะแยกไปอยู่ตามลำพังหรือ เจ้าคิดได้อย่างไร เจ้าไม่อายแต่ข้ายังมียางอายอยู่”
ซูลั่วอวิ๋นกล่าว “อยู่ตามลำพังที่ไหนกันเจ้าคะ ข้าคิดอยู่ว่าปีหน้ากุยเยี่ยนต้องเข้าร่วมการสอบถงซื่อแล้ว เช่นนั้นก็ย้ายออกไปพร้อมกันเสีย ข้าจะได้ดูแลกวดขันให้เขาท่องตำราได้พอดี เมื่อครู่ฮูหยินใหญ่บอกว่าไฉ่เจียนจะออกเรือน นางมีงานล้นมืออยู่แล้ว กลัวว่าจะต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ข้ากับน้องชายย้ายออกไป ฮูหยินใหญ่จะได้เบาแรงขึ้น แน่นอนว่าวันหลังเรื่องการเปลี่ยนบ่าวไพร่ในเรือนก็ไม่จำเป็นต้องให้ฮูหยินใหญ่วุ่นวายใจเช่นกันเจ้าค่ะ”
ติงเพ่ยคิดจะขับไล่ไสส่งเถียนมามากับเซียงเฉ่าเป็นการตัดแขนตัดขาของนางรึ ไม่มีทาง!
ครั้งนี้ซูลั่วอวิ๋นตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะฉวยโอกาสนี้ย้ายออกไปให้ได้
ซูหงเหมิงนึกถึงท่าทางหัวช้าเวลาที่ซูกุยเยี่ยนท่องหนังสือแล้วก็รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าเช่นกัน ถ้าซูลั่วอวิ๋นอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ คอยควบคุมซูกุยเยี่ยนให้ตั้งใจเรียนก็ดีไม่น้อย…แต่ว่าซื้อเรือนต้องเปลืองเงินเปลืองทองอีกเท่าไรกัน
เหตุใดบุตรชายบุตรสาวที่เขาเลี้ยงดูมาแต่ละคนดุจดั่งผีซิว วันๆ กินเงินกันเก่งนัก
เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็คร้านจะปะทะคารมกับบุตรสาว เพียงพูดอย่างขอไปทีว่า “ข้าต้องลองคิดดูก่อน เจ้ากลับไปก่อนเถิด ไว้ข้าค่อยไปหาเจ้าอีกที”
ซูลั่วอวิ๋นถึงลุกขึ้นแล้วคารวะบิดา จากนั้นก็ให้เซียงเฉ่าประคองกลับไปยังเรือนของตนเอง