ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 10
นางจากเรือนสกุลซูไปนานสองปี ยังไม่คุ้นเคยกับทางเดินของที่นี่ พอไม่มีหินกรวดที่ปูบนพื้นคอยบอกทาง นางก็จำต้องพยุงคนอื่นแล้วเดินช้าๆ
พอกลับถึงเรือน เถียนมามาก็กล่าวเสียงเบา “คุณหนูใหญ่ เพื่อพวกบ่าวแล้วท่านทำเช่นนี้เท่ากับฉีกหน้าแตกหักกับนายท่านแล้วนะเจ้าคะ”
ซูลั่วอวิ๋นแย้มยิ้มตรงไปหยิบพู่กันกับกระดาษมาเตรียมคัดอักษร นางรู้ว่าเถียนมามากำลังตำหนิตนเองอยู่ จึงเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“ข้าไม่ได้ทำเพื่อรั้งตัวพวกเจ้าไว้เสียทีเดียว ปีหน้ากุยเยี่ยนต้องสอบถงซื่อแล้ว ฮูหยินใหญ่อ้างว่าเขาปัญญาทึบ กลัวจะถ่วงเวลาเรียนของสองพี่น้องคู่นั้น ไม่อยากให้เขาเรียนหนังสือพร้อมกับจิ่นกวนและจิ่นเฉิงต่อ เมื่อวานข้าได้ยินจิ่นเฉิงหลุดปากว่ามารดาของเขาจะจ้างบัณฑิตซิ่วไฉสอบตกคนหนึ่งมาสอนกุยเยี่ยนคนเดียว แต่นางจะเชิญอาจารย์ดีๆ ที่ไหนมาสอนกุยเยี่ยนเล่า ถ้าพวกเราออกไปอยู่กันเองจะได้จ้างอาจารย์ดีๆ สักคนมาสอนพิเศษให้กุยเยี่ยนได้”
เซียงเฉ่าพูดอย่างไม่วางใจ “แต่ท่านเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน แต่กลับจะซื้อเรือนแยกไปอยู่ตามลำพัง…แล้วเรื่องชื่อเสียงจะทำอย่างไร นายท่านกับฮูหยินจะตอบตกลงหรือไม่เจ้าคะ”
ซูลั่วอวิ๋นหลับตาลงพลางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “พี่สาวเล่าเรียนเป็นเพื่อนน้องชายก็มีมาแต่โบราณ ไม่นับว่าออกนอกลู่นอกทาง อีกอย่างมารดาเลี้ยงของข้าคนนั้นน่าจะพูดเกลี้ยกล่อมท่านพ่อแทนข้าแล้วกระมัง…”
วันนี้ติงเพ่ยขับไล่นาง ถึงจะใจร้อนเกินไปบ้างแต่ก็มีเหตุผลอยู่ วันมงคลของซูไฉ่เจียนใกล้เข้ามา คนสกุลลู่ต้องมาที่จวนบ่อยๆ หากซูลั่วอวิ๋นกับลู่ซื่อได้พบหน้ากันหลายครั้ง ซูไฉ่เจียนคงได้ปีนขึ้นไปบนหลังคาตีอกชกหัวร้องไห้ฟูมฟายเป็นแน่
ติงเพ่ยไม่อยากให้ซูลั่วอวิ๋นพบคนสกุลลู่บ่อยๆ จึงคิดจะส่งนางกลับบ้านเดิมอย่างอดรนทนไม่ไหว
อีกประการหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ติงเพ่ยเพิ่งทุ่มเงินก้อนใหญ่จ้างปราชญ์ชื่อดังผู้หนึ่งมาสอนหนังสือให้สองพี่น้องซูจิ่นกวนกับซูจิ่นเฉิง ถ้าต้องสอนศิษย์สามคนก็จะเสียสมาธิเป็นแน่ ติงเพ่ยถึงคิดจะจ้างบัณฑิตซิ่วไฉสอบตกอีกคนแล้วเขี่ยซูกุยเยี่ยนออกไป
ดังนั้นถ้าซูกุยเยี่ยนออกจากจวนไปเรียนหนังสือที่อื่นอย่างรู้กาลเทศะ เกรงว่าติงเพ่ยอยากให้เป็นเช่นนี้ใจจะขาด นางถึงพูดเกริ่นขึ้นเล็กน้อย ส่วนที่เหลือก็ยกให้เป็นหน้าที่ของมารดาเลี้ยง
ว่ากันว่าหลังจากกลับถึงห้องวันนั้นติงเพ่ยกับบิดามีปากเสียงกันยกหนึ่ง บิดาน่าจะกล่าวโทษที่ติงเพ่ยไล่ตะเพิดนางเร็วเพียงนี้ เป็นการล่วงเกินบุตรสาวคนโตเสียแล้ว
แต่ติงเพ่ยเป็นสตรีวัยกลางคนที่ยังทรงเสน่ห์ไม่สร่างซา เนื้อกายนวลเนียนเต่งตึง ยามร่ำไห้หลั่งน้ำตาอาบหน้าดุจน้ำค้างเกาะผิวหยก นางพร่ำพรรณนาถึงความเจ็บช้ำน้ำใจนานับประการของผู้เป็นมารดาเลี้ยงไม่หยุด
ท้ายที่สุดซูหงเหมิงต้องเป็นฝ่ายใจอ่อนพูดพะเน้าพะนอเอาใจนางอย่างช่วยไม่ได้
ส่วนสองสามีภรรยาพูดคุยส่วนตัวกันว่าอย่างไรบ้างนั้น คนนอกไม่อาจล่วงรู้ได้ แต่สุดท้ายซูหงเหมิงก็ตกลงตามคำขอของซูลั่วอวิ๋น สำหรับเรือนที่ซื้อให้ก็เป็นเรือนหลังเล็กที่เก่ามากในตรอกเถียนสุ่ย
ว่ากันว่าเป็นเรือนราคาถูกเหลือหลาย ตอนนายหน้าค้าเรือนเสนอให้ ซูหงเหมิงไม่แม้แต่จะไปดูก็จับจองทันที เขาบอกกับบุตรสาวว่าอย่าเลือกมากนัก ไว้นางไปอยู่แล้วค่อยเบิกเงินกองกลางไปซ่อมแซมก็พอ
แน่นอนว่าบุตรชายบุตรสาวของภรรยาผู้ล่วงลับแยกออกไปอยู่ข้างนอกก็ต้องมีเหตุผลที่เหมาะสม เขาเพียงบอกว่าบุตรชายของอดีตภรรยาเอกซูกุยเยี่ยนไม่สะดวกใจที่จะอยู่ในจวนอึกทึก ถึงได้ซื้อเรือนให้เขาเรียนหนังสือโดยเฉพาะ ส่วนซูลั่วอวิ๋นเป็นห่วงน้องชายจึงย้ายตามออกไปดูแลกวดขันการเรียนของเขา
เมื่อเป็นเช่นนี้จะได้ดูเหมือนว่านายท่านใหญ่สกุลซูเอ็นดูตามใจบุตรของภรรยาผู้ล่วงลับ เป็นบิดาที่มีความรักล้นเหลือต่อบุตรทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
ถึงซูลั่วอวิ๋นจะมองไม่เห็น แต่วันที่ไปดูเรือนได้ยินเสียงประตูเอี๊ยดอ๊าดกับเสียงถอนหายใจไม่หยุดของเถียนมามากับเซียงเฉ่า นางก็รู้ว่าเรือนหลังนี้คงจะทรุดโทรมเป็นอันมาก ไม่ได้กว้างขวางน่าอยู่อย่างจวนสกุลซู
แต่บิดาผู้ตระหนี่ถี่เหนียวยอมกัดฟันควักถุงเงินก็ควรค่าแก่การฉลองแล้ว ซูลั่วอวิ๋นได้กลิ่นอับชื้นจางๆ ภายในเรือนก็คลายยิ้มแล้วเอ่ยปลอบเถียนมามา
โชคดีที่หลังจากช่างไม้ที่จ้างมาสำรวจตรวจตราจนทั่วไปรอบหนึ่งบอกว่าโครงเสาใหญ่ของเรือนยังดีอยู่ ส่วนจุดที่ชำรุดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นแค่ซ่อมแซมสักหน่อยก็ได้แล้ว
ขณะมองดูลานเรือนที่เก่าทรุดโทรมไปบ้าง ซูกุยเยี่ยนกลับรู้สึกเบิกบานใจอย่างยิ่ง เขาพูดว่าขอแค่ตอนฝนตกไม่มีน้ำรั่วก็คือเรือนที่ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องจู้จี้มากความ
ซูกุยเยี่ยนอยู่ในจวนสกุลซูถูกบุตรชายสองคนของมารดาเลี้ยงรังแกมานาน ในใจเขาไม่มีความสุขนัก พอคิดว่าจะได้ย้ายออกมาอยู่กับพี่สาวแล้ว มีหรือจะสนใจอีกว่าเรือนจะเก่าทรุดโทรมอย่างไร
ซูลั่วอวิ๋นยิ้มน้อยๆ ฟังเสียงน้องชายพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด ความร่าเริงสดใสประหนึ่งนกน้อยเช่นนี้ถึงจะคล้ายเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ทำให้นางหาได้นึกเสียใจไม่ที่ย้ายออกมา
อันที่จริงนางก็คิดเหมือนกับน้องชาย ไม่อยากอยู่ในจวนสกุลซูแม้แต่วันเดียว ด้วยเหตุนี้ยังไม่ทันซ่อมเรือนเสร็จ เพียงปัดกวาดเช็ดถูเล็กน้อยก็ย้ายเข้ามาอยู่แล้ว ตั้งใจว่าจะอยู่ไปซ่อมแซมไป
แต่เพราะทางติงเพ่ยใจจดใจจ่ออยู่กับการเตรียมสินเดิมเจ้าสาว พักนี้ดูเหมือนว่าเงินทองจะติดขัด เงินใช้สอยรายเดือนของซูลั่วอวิ๋นมักจะจ่ายให้ไม่ค่อยตรงเวลา
ตอนเถียนมามาเบิกเงินได้แล้ว ติงเพ่ยก็บอกอย่างตรงไปตรงมาว่าเงินค่าซ่อมแซมเรือนต้องรอไปก่อน
ซูลั่วอวิ๋นคร้านจะถือสาหาความกับมารดาเลี้ยงด้วยเรื่องเงินเล็กน้อย วันที่ย้ายมานางจึงเอาเงินส่วนตัวให้เถียนมามาไปซื้อสุราอาหาร
ตกเย็นทุกคนจึงกินอาหารพลางพูดคุยยิ้มหัวกันอย่างสำราญใจ จากนั้นต่างคนต่างก็ไปเข้านอน