คนโบราณกล่าวไว้ว่าเรือนจะเป็นเรือนที่ดีหรือไม่นั้นต้องอาศัยอยู่เองจึงจะรู้ได้ คำกล่าวนี้ไม่ผิดจริงๆ!
ตอนซูลั่วอวิ๋นนอนลงบนเตียงที่ไม่คุ้นเคย นางต้องพลิกกายไปมาครู่หนึ่งถึงหลับลงได้ แต่ไม่ทันไรก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงบรรเลงดนตรีดังขึ้นมา
นางแหวกม่านหน้าเตียงส่งเสียงถามเซียงเฉ่าที่นอนอยู่ห้องเล็กด้านข้าง “ดึกดื่นเพียงนี้เสียงเพลงดังมาจากที่ใด”
เซียงเฉ่ารีบเอาเสื้อคลุมกายให้มิดชิดก่อนจะเดินไปทางต้นเสียงแล้วมองหาจนทั่ว สุดท้ายก็พบว่าเสียงดนตรีดังมาจากกำแพงทางลานเรือนทิศตะวันตก
ที่แท้เพื่อนบ้านทางทิศตะวันตกของเรือนหลังนี้เป็นจวนหลังใหญ่ในตรอกชิงอวี๋ ภายในมีแสงไฟสว่างไสวคล้ายว่ามีคนกำลังร่ำสุราสรวลเสเฮฮาอยู่ในสวน
เซียงเฉ่ายืนบนขั้นบันไดก็มองเห็นไม่ชัด เห็นเพียงสตรีสวมเสื้อคลุมบางเบาอวดลำคอและท่อนแขนขาวผ่องกลุ่มหนึ่ง ต่างดื่มสุราเมามายจนนัยน์ตาฉ่ำปรือ หัวเราะเสียงดังอิงแอบคลอเคลียอยู่กับเหล่าบุรุษ บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของการลุ่มหลงมึนเมา
เซียงเฉ่ากระดากอายจนไม่กล้ามองต่อ เร่งรีบลงบันไดไปบอกกล่าวคุณหนูใหญ่
ซูลั่วอวิ๋นขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนหน้านี้นางมาดูเรือนยามกลางวันเสมอ ไม่รู้จริงๆ ว่าตรอกที่ดูเหมือนสงบเงียบแห่งนี้ในยามราตรีกลับกลายเป็นที่มั่วสุมเสื่อมศีลธรรมประหนึ่งถ้ำนางปีศาจแมงมุม
เพียงแต่ว่าเจ้าของเรือนเป็นใครกันถึงได้ดื่มฉลองสังสรรค์กันทั้งคืน ประพฤติตนฟุ้งเฟ้อเช่นนี้
วันรุ่งขึ้น ซูลั่วอวิ๋นให้เถียนมามาไปคุยสัพเพเหระกับพวกหญิงชาวบ้านวัยกลางคนที่จ่ายตลาดอยู่ตรงปากตรอก ถึงได้รู้ว่าเพื่อนบ้านเจ้าปัญหาที่อยู่ในจวนติดกับลานเรือนทิศตะวันตกของเรือนนางเป็นบุตรหลานชนรุ่นหลังของอดีตฮ่องเต้เว่ยจง
“เป็นเป่ยเจิ้นอ๋องซื่อจื่อผู้นั้นเจ้าค่ะ เข้าเมืองหลวงมาศึกษาเล่าเรียน ฮ่องเต้จึงพระราชทานจวนในตรอกชิงอวี๋ที่ติดกับเรือนเราให้พำนักชั่วคราว นับตั้งแต่ท่านผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ผู้นั้นมาอยู่ ในตรอกนี้แทบจะจัดงานเลี้ยงร้องรำทำเพลงทุกค่ำคืน ส่งเสียงดังรบกวนผู้คนจนนอนหลับไม่เป็นสุข แต่นั่นเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ชาวบ้านทั่วไปเช่นพวกเราจะสู้รบปรบมือกับเขาก็คงไม่ไหว คนที่ทนไม่ไหวล้วนย้ายเรือนหนีไปกันหมดแล้ว”
ได้ฟังคำรายงานของเถียนมามา ซูลั่วอวิ๋นก็สูดลมหายใจลึกๆ คราหนึ่ง มิน่าเล่าเจ้าของเรือนคนเดิมถึงตัดใจขายให้ในราคาถูกเช่นนี้ ที่แท้เรือนหลังนี้อยู่ติดกับพญาวานรขนทองจอมอันธพาลนี่เอง
นางนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นตอนเห็นหานซื่อจื่อดีดพิณ ‘ขอทาน’ ข้างถนนขึ้นมาได้โดยพลัน ดูท่าว่าบุรุษเสเพลผู้นี้ช่างสรรหาวิธีสร้างความบันเทิงเริงใจได้นานาสารพัดไม่สิ้นสุดดีแท้!
เรื่องอื่นยังพอทำเนา แต่ถ้าหากน้องชายของนางไม่ได้นอนหลับพักผ่อนจะเตรียมตัวสอบดีๆ ได้อย่างไร
ซูลั่วอวิ๋นออกจากเมืองหลวงสองปี ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของซื่อจื่อที่มาอยู่เมืองหลวงหลังนางจากไปเพียงไม่นานผู้นี้ แต่ก็เป็นดังเช่นคำกล่าวของเพื่อนบ้านใกล้เคียง สามัญชนจะไปตอแยกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงได้อย่างไร ถึงร้องรำทำเพลงกันทุกราตรีก็ต้องอดทนไว้
หลายวันต่อมา ขอบตาของซูลั่วอวิ๋นเริ่มมีรอยคล้ำ ทว่าทางด้านซูกุยเยี่ยนนั้นอย่างไรก็อายุยังน้อย กลับนอนหลับได้สนิท ทุกคืนล้วนอยู่ในห้วงนิทราอย่างแสนสุข
โชคดีที่เพื่อนบ้านผู้นั้นใช้ชีวิตกลางวันกลางคืนสลับกัน ช่วงกลางวันจึงค่อนข้างเงียบสงบ ซูลั่วอวิ๋นเห็นว่าไม่ถ่วงการเรียนของน้องชายก็พอ ส่วนนางที่มีประสาทหูฉับไวได้แต่นอนหลับชดเชยในยามกลางวันไปก่อนที่จะมีปัญญาซื้อเรือนหลังใหม่ได้
น่าเสียดายที่นางไม่มีเวลาพักผ่อนสักเท่าไร เพราะต้องลงมือปรุงขี้ผึ้งหอมถวายองค์หญิงอวี๋หยางด้วยตนเอง
ยามรุ่งสางของทุกวันต่อให้ศีรษะวิงเวียน นางก็ต้องตื่นไปที่ร้านเพื่อปรุงเครื่องหอม
ซูลั่วอวิ๋นคิดว่าในอดีตมารดายอมเปิดเผยตำรับเครื่องหอมที่คิดค้นขึ้นเอง ทว่าในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตแม้แต่บ้านเดิมของตนเองก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ นางจึงยึดถือเป็นข้อต้องห้ามอย่างเคร่งครัดด้วยเหตุนี้
แม้ว่านางจะตอบตกลงคิดตำรับปรุงเครื่องหอม แต่ไม่ได้มอบให้ร้านโส่วเว่ย นางพาเถียนมามากับเซียงเฉ่าเข้าไปในห้องคลังเก็บเครื่องหอมแล้วหยิบส่วนผสมมาปรุงเอง
นอนหลับไม่เต็มอิ่มแต่ยังต้องฝืนลุกจากเตียงนั้นช่างเป็นความรู้สึกที่ทรมานเสียจริง วันหนึ่งเซียงเฉ่าตักน้ำเตรียมตัวปรนนิบัติคุณหนูยามตื่นนอน ทว่ากลับเห็นนางยังนอนซมอยู่ในผ้าห่ม
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 ต.ค. 67