จังหวะนี้เองติงซื่อก็ขึงตาปรามบุตรสาวที่ตั้งท่าจะเอ่ยปากพูดขึ้น รอจนทุกคนดื่มชาเสร็จแล้วต่างคนต่างกลับห้อง นางถึงบอกให้สาวใช้ไปเรียกซูไฉ่เจียนมาหา
ซูไฉ่เจียนมาถึงก็นั่งลงบนตั่งนุ่ม ซบหน้ากับฟูกรอง พูดพลางสะอื้น “ท่านแม่ เดิมทีท่านพ่อพูดกับท่านเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่ให้พี่ลั่วอวิ๋นกลับไปมิใช่หรือเจ้าคะ”
ติงซื่อใช้นิ้วมือเสยปอยผมข้างจอนของบุตรสาวให้เข้าที่พลางกล่าวอย่างอดทน “เจ้าก็ได้ยินแล้ว นายท่านเล็กสกุลหูกลับมาแล้วอยากพบหลานสาว ท่านพ่อของเจ้ากลัวว่าคนป่าเถื่อนผู้นั้นจะมาอาละวาด ไว้ผ่านไปสักพักก็คงส่งพี่สาวของเจ้ากลับเรือนหลังเก่าเอง”
ซูไฉ่เจียนขยี้ตาก่อนลุกขึ้นนั่ง “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เต็มใจให้พี่ลั่วอวิ๋นกลับจวน แต่…คุณชายลู่เขา…”
ติงซื่อบอกให้สาวใช้ออกไปนอกห้องจนหมดแล้วค่อยพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข่มใจไม่อยู่ถึงเพียงนี้ ไม่เหมือนข้าสักนิด! ในอดีตสกุลซูเรามีบุญคุณต่อสกุลลู่ ทั้งสองฝ่ายยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เรื่องการหมั้นหมายบุตรชายบุตรสาวไว้ตั้งแต่เด็กที่นายท่านทั้งสองตระกูลตกลงกันไว้บอกชัดว่าให้ลู่ซื่อแต่งบุตรสาวสกุลซูเป็นภรรยา สกุลลู่ไม่มีวันยอมให้คนตาบอดเป็นประมุขหญิงของจวนเด็ดขาด ลู่ซื่อเองก็รู้แจ้งแก่ใจดี แต่พวกบุรุษล้วนเห็นว่าสิ่งที่ไม่ได้ครอบครองเป็นของดีที่สุด ถ้าแค่พะวงถึงอยู่ในใจก็ช่างปะไร ส่วนซูลั่วอวิ๋นมีนิสัยใจคอเป็นเช่นไรเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ เย่อหยิ่งถือตัวถึงเพียงนั้น เกรงว่าคงเกลียดชังลู่ซื่อแทบตายเพราะเรื่องแต่งงาน ขอเพียงเจ้าหัวไวและรู้จักเอาใจใส่สักนิด มัดใจสามีเอาไว้ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าคนตาบอดคนหนึ่งจะสร้างความวุ่นวายในเรือนของเจ้าได้”
เมื่อได้ฟังคำพูดของมารดา ซูไฉ่เจียนจึงสงบใจลงได้เล็กน้อย นางดึงผ้าห่มมาคลุมกาย พูดเสียงเบาว่า “ดูท่าทางพี่ลั่วอวิ๋นคล้ายจะไม่โกรธแล้ว ความจริงหากนางปลงตกได้ จะกลับไปก็ไม่เป็นไร…”
นางพูดไปก็อ้าปากหาวคราหนึ่ง พลิกกายนอนหลับตามสบาย
ติงซื่อมองดูบุตรสาวที่นอนหลับไปก็ขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่ รู้สึกว่าบุตรสาวช่างใสซื่อดีแท้
ทว่าขมวดคิ้วได้ครู่เดียวนางก็รีบหันไปส่องคันฉ่อง ด้วยเกรงว่าหน้าผากจะเกิดริ้วรอยลึกขึ้น นางทาขี้ผึ้งบำรุงผิวที่ทำจากไขมันห่านกับคางคกหิมะบนใบหน้าพลางมองไปทางเรือนของซูลั่วอวิ๋นด้วยท่าทางครุ่นคิด
“ตอนนี้นางอารมณ์เย็นเช่นนี้ เพราะคิดตกแล้วจริงๆ หรือ”
วันถัดมาติงซื่อหาโอกาสตอนที่ติดตามซูหงเหมิงออกไปร่วมงานเลี้ยงพูดขึ้นว่าก่อนหน้านี้ลู่ซื่อเอ่ยรบเร้าอีกว่ารอหลังจากซูไฉ่เจียนออกเรือนเรียบร้อยก็ให้ซูลั่วอวิ๋นนั่งเกี้ยวเข้าสกุลลู่ไปด้วยเป็นอันสิ้นเรื่อง
ซูหงเหมิงฟังแล้วก็ถลึงตา “วันนี้ไม่เหมือนกับวันวานแล้ว เมื่อก่อนข้าต่ำต้อยกว่าสกุลลู่ขั้นหนึ่ง แต่บัดนี้ข้ามีตำแหน่งเป็นขุนนางในกองการค้าหลวง วันหน้าก็มีศักดิ์ฐานะเกือบเทียมบ่าเทียมไหล่นายท่านสกุลลู่ ไยข้าต้องประจบประแจงเขา กระทั่งบุตรสาวสองคนก็ยกให้สกุลลู่หมดเล่า”
บุตรสาวสองคนแต่งสามีคนเดียวกันหาใช่เรื่องดีไม่! เกิดพวกสหายขุนนางรู้เข้าจะไม่หัวเราะเยาะเขาลับหลังหรือ
แม้ว่าซูหงเหมิงจะอาศัยลู่ทางของสกุลลู่ถึงได้ตำแหน่งนี้มา แต่เขาถือว่าตนมีความสามารถโดดเด่นเหนือใคร เรื่องการสานสัมพันธ์กับผู้คนก็มีชั้นเชิงพลิกแพลงกว่านายท่านสกุลลู่เป็นอันมาก ในอนาคตหน้าที่การงานจะรุ่งโรจน์ไปไกลเพียงใดย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง
ขุนนางแคว้นต้าเว่ยที่ยิ่งใหญ่เช่นเขายัดเยียดบุตรสาวสองคนให้สกุลลู่หมดจะถือเป็นเรื่องดีอันใด
ติงเพ่ยไม่แปลกใจที่สามีเอ่ยเช่นนี้ นางเพียงกล่าวต่อไปด้วยสีหน้าลำบากใจ “แต่เมืองหลวงกว้างใหญ่ปานนั้น ข้าจะกักตัวลั่วอวิ๋นไม่ให้ออกจากเรือนคงทำไม่ได้ นางกับเขาเดิมทีก็เคยมีความหลังกันอยู่บ้าง หากวันหน้าเกิดลักลอบมีความสัมพันธ์กันขึ้นมา ชื่อเสียงของสกุลซูเรา…”
ซูหงเหมิงฟังแล้วใจหาย รู้สึกว่าภรรยาของตนคิดได้รอบคอบเช่นเคย เขาเอ่ยขึ้นทันที “พอลั่วอวิ๋นพบกับเจ้าสุนัขบ้าหูเสวี่ยซงแล้ว ข้าจะให้นางกลับไปอยู่เรือนหลังเก่าดังเดิม”
ติงเพ่ยพูดถึงลูกเลี้ยงอย่างสงสารเห็นใจอีกเล็กน้อย จากนั้นก็อมยิ้มไม่กล่าววาจาต่อ
ซูลั่วอวิ๋นใช้อุบายตื้นๆ พรรค์นี้จะหลอกลวงนางได้อย่างไร ถ้าอีกฝ่ายสงบเสงี่ยมเจียมตนจริงๆ ก็แล้วไปเถิด มิฉะนั้นคนตาบอดคนเดียวนางจะกำราบไว้ไม่อยู่หรือ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 ก.ย. 67