บทที่ 8
เมื่อเซียงเฉ่าได้ยินคำกล่าวนี้แล้วมองดูซื่อจื่อที่ประทินโฉมจนเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อีกครา น้ำเสียงของนางพลันเปลี่ยนไป
“น่าเสียดายรูปโฉมเช่นนี้ บุรุษดีๆ กลับผัดหน้าจนขาวนวลเนียน คงเป็นบุรุษเสเพลมัวเมาในสุรานารี”
แต่มีรูปสมบัติ การเป็นขอทานก็ง่ายดายขึ้น บรรดาคุณหนูและฮูหยินไม่น้อยเห็นรูปโฉมหล่อเหลาของหานซื่อจื่อแล้วถูกตาต้องใจ จึงพากันโยนเหรียญอีแปะกับก้อนเงินลงในอ่างสำริดเบื้องหน้าเขา เกิดเสียงดังกังวานประหนึ่งไข่มุกกระทบถาด
ปรากฏว่ายังบรรเลงเพลงแทนความคิดถึงไม่จบ อ่างใบใหญ่ก็มีเหรียญอีแปะกับก้อนเงินเป็นกองพูนสูงขึ้นจนหล่นร่วงออกมาข้างนอกไม่หยุด ไม่นานนักก็สามารถม้วนเสื่อกลับไปได้แล้ว
พวกซูลั่วอวิ๋นรออยู่ในรถม้าเป็นนาน ได้ยินเสียงโห่ร้องหัวเราะดังลั่นของคุณชายเสเพลกลุ่มนั้นห่างไปไกลทีละน้อยก็ระบายลมหายใจ ในที่สุดรถม้าของพวกนางก็ไปต่อได้เสียที ไม่รู้ว่าท่านน้าจะรอจนร้อนใจหรือไม่
พอฝูงชนแยกย้ายกันแล้ว รถม้าของสกุลซูจึงแล่นไปตามถนนย่านการค้าจนถึงประตูทางเข้าจุดพักม้า
หูเสวี่ยซงสวมชุดทหารยืนอยู่หน้าจุดพักม้ารอหลานสาวลงจากรถม้า
เมื่อได้เห็นหน้าซูลั่วอวิ๋น บุรุษที่ไว้หนวดเคราเต็มใบหน้าก็รู้สึกลำคอตีบตันน้อยๆ เขาเอ่ยกับนางว่า “ไม่พบกันนาน เจ้าซูบผอมลงถึงเพียงนี้เชียวหรือ เงินทองของสกุลซูถูกบิดาเจ้าเก็บสะสมไว้ซื้อโลงศพหมดแล้วรึ เขาได้ดูแลเจ้าดีหรือไม่”
ซูลั่วอวิ๋นได้ยินเสียงทุ้มห้าวของท่านน้าแล้วน้ำตาก็เอ่อคลออย่างกลั้นไม่อยู่จนดวงตาแดงเรื่อทันใด นางสูดจมูกเบาๆ ก่อนเอ่ยขึ้น
“ฟังเสียงของท่านน้าเล็กทรงพลังเต็มเปี่ยม สองสามปีมานี้ต้องกำยำล่ำสันขึ้นอีกมากเป็นแน่ ยังคงเป็นค่ายทหารที่เลี้ยงดูผู้คนได้ดี ไม่รู้ว่าท่านน้าเล็กพาท่านน้าสะใภ้เล็กที่เหมาะสมกันกลับมาให้ข้าหรือไม่เจ้าคะ”
หูเสวี่ยซงกลับพูดเยาะหยันตนเอง “ข้าผลาญทรัพย์สมบัติจนหมดสิ้น ไม่มีสมบัติพัสถานใดๆ ติดตัว อย่าไปตอแยกับสตรีดีๆ ให้ต้องมาลำบากกับข้าเลย”
พอทั้งคู่เข้าห้องไปแล้วถามสารทุกข์สุกดิบกันจบ หูเสวี่ยซงก็พูดเข้าเรื่อง “ข้ามาคราวนี้ตั้งใจจะรับพวกเจ้าสองพี่น้องไปจากสกุลซู ตอนเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าเมื่อสองปีก่อน ข้าอยู่ที่เจียงเจ้อเข้าร่วมกองทัพไปปราบปรามโจรสลัด ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางคมหอกคมดาบ ไม่อาจดูแลพวกเจ้าได้ เวลานี้ข้านับว่ามีเบี้ยหวัดเลี้ยงดูครอบครัวได้แล้ว จึงอยากรับตัวพวกเจ้าไปอยู่ด้วยกัน จะได้ไม่ต้องถูกพวกสตรีโหดเหี้ยมอำมหิตพวกนั้นกลั่นแกล้งคิดร้าย”
ซูลั่วอวิ๋นใช้มือคลำขนมหลายอย่างในกล่องอาหารที่ตนนำมาออกมาวางบนโต๊ะพลางถามเสียงเบา “ตอนนี้ท่านน้าเล็กยังไม่แต่งงาน หากยังมีบุตรสองคนของพี่สาวที่ล่วงลับไปแล้วติดตามข้างกายเป็นเรือพ่วง วันหลังหากอยากแต่งภรรยาเป็นตัวเป็นตนจะไม่ลำบากหรือเจ้าคะ”
หูเสวี่ยซงโบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ เขาพูดด้วยสีหน้าละอายใจ “ไยลูกผู้ชายต้องกลัดกลุ้มว่าจะไร้ภรรยา แต่ก่อนข้าไม่รู้จักโต มั่วสุมอยู่กับสหายกินสหายเที่ยวดื่มสุราเล่นสนุกไปวันๆ ผลาญทรัพย์สมบัติไปจนสิ้น เป็นเหตุให้ในยามคับขันจนปัญญาจะช่วยเหลือพี่สาวแล้วก็ไม่ได้ดูแลพวกเจ้าให้ดี บัดนี้ข้าสร้างเนื้อสร้างตัวได้มั่นคงในที่สุด ขืนไม่ดูดำดูดีพวกเจ้าอีก ตายไปจะมีหน้าไปพบกับพี่สาวได้อย่างไร”
ซูลั่วอวิ๋นกลับส่ายหน้าแล้วพูดว่า “กุยเยี่ยนเป็นเด็กมีสติปัญญาพอดู ตอนเริ่มต้นเล่าเรียนเขียนอ่านท่านอาจารย์ก็ออกปากว่าเขามีแววดี สามารถสอบขุนนางได้ ถ้าท่านน้าเล็กพาบุตรชายบุตรสาวสกุลซูไปโดยปราศจากเหตุผล เขาจะต้องถูกสกุลซูลบชื่อออกจากผังวงศ์ตระกูลจนภูมิหลังด่างพร้อย ถึงตอนนั้นถ้าสอบถงซื่อไม่ผ่านจะไม่ทำให้สติปัญญาของกุยเยี่ยนต้องสูญเปล่าหรือเจ้าคะ”
หูเสวี่ยซงย่อมเข้าใจ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันให้ความสำคัญกับความประพฤติของขุนนางมากที่สุด ซูลั่วอวิ๋นหลานสาวผู้นี้คิดอ่านได้รอบคอบกว่าเขาเสียอีก
เขาคิดถึงตรงนี้แล้วก็กล่าวอย่างทอดถอนใจ “ส่งบุตรสาวที่ดวงตามองไม่เห็นไปอยู่ชนบทได้…ต้องใจดำถึงเพียงใด ข้าถึงขั้นต้องยืนกรานจะพบเจ้า เขาถึงรับเจ้ากลับมา พอข้าไปจากเมืองหลวง เขาจะไม่ส่งเจ้ากลับไปอีกหรือ”
ซูลั่วอวิ๋นกลับยิ้มน้อยๆ “ท่านน้าเล็กไม่ต้องเป็นห่วง ข้าย่อมมีวิธีรั้งอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ ท่านน้าเล็กต่างหากเล่า เข้าเมืองหลวงครั้งนี้จำเป็นต้องไปเยี่ยมเยียนใครต่อใครเพื่อแสดงน้ำใจ ไม่ทราบว่าได้ตระเตรียมของฝากพื้นเมืองไว้บ้างหรือไม่”