หลังจากหมอฝังเข็มให้ซูลั่วอวิ๋นแล้ว หานหลินเฟิงก็พานางไปนอนลงบนเตียงเตาอีกครั้ง จากนั้นก็จัดรองเท้านางให้เข้าที่ นางจะได้หาพบตอนลงจากเตียง ถ้วยน้ำที่ดื่มน้ำหมดแล้วก็วางไว้ตรงตำแหน่งประจำ ส่วนเก้าอี้ที่นางนั่งเมื่อครู่นี้เก็บไว้ใต้โต๊ะตามเดิม ทั้งยังหยิบเสื้อคลุมตัวนอกที่นางเพิ่งถอดออกไปแขวนที่ตะขอข้างเตียง และเอาผ้าเช็ดหน้าที่เพิ่งใช้มาวางไว้ข้างหมอน
หานหลินเฟิงทำกิจวัตรประจำวันเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้อย่างคล่องแคล่วชำนาญ เพียงแต่เมื่อก่อนนางไม่เคยเห็น ทว่าก็คุ้นชินกับสิ่งที่เขาทำให้เหล่านี้จนเป็นเรื่องปกติ
แต่ในเวลานี้ดวงตาของซูลั่วอวิ๋นมองเห็นเงาร่างพร่าเลือนเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในห้องแล้ว
เมื่อพินิจจากแสงเงาที่มองเห็น กอปรกับชีวิตประจำวันของคนทั้งคู่ในยามปกติ เป็นธรรมดาที่นางจะเดาได้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
เขาเคลื่อนกายได้แผ่วเบามากมาแต่ไหนแต่ไร นางจึงไม่ได้ยินมาโดยตลอด ซูลั่วอวิ๋นเพิ่งตระหนักได้ในเวลานี้ว่ายามอยู่ข้างกายนางเขากระทำสิ่งที่เป็นหน้าที่ของสาวใช้มากมายอยู่เงียบๆ
ก็จริง ถึงอย่างไรการใช้ชีวิตอยู่กับคนตาบอดย่อมมีหลายเรื่องที่ต้องปรับตัวให้คุ้นชิน อย่างน้อยที่สุดข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างล้วนต้องวางให้เข้าที่เข้าทาง
ซูลั่วอวิ๋นพลันนึกถึงเมื่อแรกที่แต่งงานกัน นางเคยเดินสะดุดเก้าอี้ที่หานหลินเฟิงนั่งแล้วไม่ได้เก็บเข้าที่จนล้มลง และดูเหมือนว่าหลังจากครั้งนั้นนางก็ไม่พบเจอกับความไม่สะดวกสบายเช่นนั้นอีก
ตอนนั้นนางยังนึกว่าเป็นเพราะพวกสาวใช้จำได้ขึ้นใจแล้วถึงทำงานอย่างระมัดระวังขึ้น แต่เมื่อมองดูเงาร่างสูงใหญ่เลือนรางที่เดินไปเดินมาในขณะนี้ นางเพิ่งประจักษ์ว่าเพื่อปรับตัวให้คุ้นชินกับการใช้ชีวิตร่วมกันกับนาง เขาทำสิ่งละอันพันละน้อยพวกนี้วันแล้ววันเล่าอยู่เงียบๆ มาโดยตลอด
กระนั้นกิจวัตรประจำวันจุกจิกที่ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึงพวกนี้กลับชวนให้หัวใจหวั่นไหวยิ่งกว่าคำมั่นสัญญารักชั่วฟ้าดินสลายอันหวานซึ้งตรึงใจเสียอีก
ตรงกลางอกซูลั่วอวิ๋นท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกหวานล้ำระคนหม่นเศร้าจางๆ อย่างบอกไม่ถูก…ต้องทำซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้ เขาไม่เบื่อหน่ายบ้างหรือ
ทางด้านหานหลินเฟิงทำเรื่องพวกนี้เสร็จแล้วก็หันหน้ามาพอดี เห็นนัยน์ตาที่เคลือบประกายน้ำวาววับคู่นั้นของซูลั่วอวิ๋นกำลังจับจ้องเขานิ่งๆ
ตอนเขาสืบเท้าไปข้างหน้าช้าๆ นางก็มองตาม ดวงตาที่ขยับตามการเคลื่อนไหวของเขาแทบไม่ต่างจากดวงดาวซึ่งส่องประกายงดงามที่สุดเท่าที่เคยเห็น
เขาโอบกอดนางไว้อย่างอดใจไม่อยู่ ถามเสียงแผ่วเบา “เอาแต่มองข้าจนตาไม่กะพริบ ระวังอย่าให้เสียสายตาเล่า…”
ประโยคนี้ทำให้ซูลั่วอวิ๋นสะดุ้ง นางเห็นว่าเขาพูดมีเหตุผล รีบหลับตาลงอย่างตื่นตระหนกทันที
มิใช่เรื่องง่ายดายกว่าดวงตาของนางจะฟื้นฟูกลับคืนมาได้เล็กน้อยเช่นนี้ ต้องใช้อย่างทะนุถนอมสักหน่อย
หลังได้เห็นแสงสว่างอีกครั้งอย่างกะทันหัน ความมืดมิดไร้ขอบเขตนั้นก็กลายเป็นสิ่งที่นางทานทนไม่ได้แล้ว
ซูลั่วอวิ๋นเพิ่งหลับตาได้ครู่เดียวก็อดลืมตาขึ้นอีกไม่ได้ นางพยายามเบิกตากว้างๆ เพราะอยากพิศดูรูปโฉมของบุรุษที่กอดตนเองไว้ให้ชัดเจน
หานหลินเฟิงกลั้นใจรอนางมองดูอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งบนใบหน้านางฉายแววผิดหวังมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงกล่าวปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เส้นลมปราณของเจ้าอุดตันมาสองปีกว่า คิดว่าจะหายเป็นปกติในชั่วพริบตาได้หรือ ท่านหมอก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าขอแค่ดื่มยาเป็นประจำ อาการของเจ้าก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนั้นข้าจะขอลาหยุดนานๆ แล้วยืนนิ่งๆ อยู่ตรงหน้าให้เจ้าดูจนพอใจ!”
ซูลั่วอวิ๋นหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ นางพูดด้วยน้ำเสียงหึงหวงเล็กน้อย “ใครต่อใครล้วนพูดว่าท่านมีรูปโฉมโนมพรรณดีเลิศ เผอิญบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าเช่นนี้มีสตรีได้ยลโฉมมากมายปานนั้น แต่คนเป็นภรรยาเช่นข้ากลับไม่ได้เห็น นี่ก็เข้าตำราที่ว่าจูปาเจี้ย* กินโสมเข้าไปทั้งต้น แต่กลับไม่รู้รสชาติ…”
ตอนนี้พอมีความหวังว่าดวงตาจะหายดี นางก็กล่าววาจาล้อเล่นออกมาอย่างสบายอกสบายใจ
แต่หานหลินเฟิงไม่ชอบฟังคำพูดนี้เสียแล้ว หรือที่ได้เชยชมเขาในความมืดอยู่บ่อยครั้งนั้นกลับไม่รู้รสชาติ? นี่นางกำลังตัดพ้อว่าฝีมือเขาใช้ไม่ได้ ยังทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายไม่พอหรือ
พอซูลั่วอวิ๋นถูกกดร่างลงบนเตียงถึงรับรู้ได้โดยพลันว่าเขาไม่พอใจ นางได้แต่พูดอ้อนวอนยิ้มๆ “ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ตัวซื่อจื่อนั้นไม่จำเป็นต้องมองเห็น เพียงดมกลิ่นก็ได้รสอร่อยล้ำเลิศในปฐพีแล้ว”
หานหลินเฟิงถอดเสื้อคลุมร่างของตนเองออกแล้วโยนไปด้านข้างอย่างแรงโดยไม่เกรงใจสักนิด “แค่ดมดูจะรู้อะไร ลิ้มลองรสชาติของข้าให้ดี!”
ตอนท้ายภายในห้องจึงมีเสียงหัวเราะดังขึ้นอีกระลอกหนึ่งแล้วเงียบไป ประตูห้องที่ปิดสนิทกักเก็บกลิ่นอายวาบหวามรัญจวนใจที่อบอวลไปทั่วไว้อย่างมิดชิด