วันนั้นเรียกได้ว่านางกับบุตรชายทะเลาะกันค่อนข้างรุนแรง ถึงแม้หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปจะไม่มีใครมาเอาความกับนาง แต่ท่าทีที่หานหลินเฟิงมีต่อมารดาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา ส่วนการส่งรอยยิ้มน้อยๆ ตามมารยาทของลูกสะใภ้ยามพบกันก็ทำให้ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องรู้สึกอัดอั้นตันใจเหลือหลาย แต่จะระบายความคับแค้นในใจออกมาก็ทำไม่ได้อีก
เมื่อเป็นเช่นนี้นางไม่อยากจะเห็นหน้าซูลั่วอวิ๋นอีกด้วยซ้ำ อีกทั้งหานหลินเฟิงก็ไม่ใช่สายเลือดของนาง แทนที่จะเสียเวลาไปหาเรื่องซูลั่วอวิ๋น มิสู้มองหาคู่ครองที่เหมาะสมให้หานเซียวบุตรชายของนางโดยเร็วจะดีกว่า
โชคดีที่มารดาสามีกับลูกสะใภ้คู่นี้ต่างฝ่ายต่างยุ่งอยู่กับเรื่องของตนเองประหนึ่งน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง ทำให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
ขณะนี้ชุมนุมแต่งบทกลอนวาดภาพของหานเซียวก็ตั้งขึ้นแล้ว ในสวนบุปผามีงานพบปะสังสรรค์ของพวกคุณชายคุณหนูสูงศักดิ์อย่างครึกครื้นอยู่บ่อยครั้ง
ซูลั่วอวิ๋นรู้ตัวว่าตนเองเป็นสามัญชน ย่อมต้องไม่ไปร่วมวงด้วยแน่นอน
แต่น้องชายสามีจัดงานรื่นเริงเสพความสุนทรีย์ได้ไม่กี่ครั้งก็ถูกท่านอ๋องสั่งห้าม
ยกถ้อยคำของท่านอ๋องมากล่าวก็คือบ้านเมืองในยามนี้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร บุรุษในวัยเหมาะสมตามเมืองต่างๆ โดยรอบล้วนถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารหมดแล้ว
ว่ากันตามอายุของหานเซียว เขาก็สมควรเข้าสู่กองทัพเช่นกัน ตอนนี้เขาเพียงอาศัยฐานะบุตรหลานเชื้อพระวงศ์ได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร เป็นธรรมดาที่จะต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยมบ้าง
ทว่าเขายังชักชวนมิตรสหายมาก่อตั้งชุมนุมแต่งบทกลอนวาดภาพ หากเล่าลือออกไปจะไม่สร้างความโกรธแค้นให้ราษฎรหรือ
หลังถูกท่านอ๋องดุด่า ชุมนุมแต่งบทกลอนวาดภาพที่ดึงดูดเหล่าหงส์ให้มาอยู่รวมกันเป็นอันต้องเลิกราไปด้วยประการฉะนี้
แต่สวนบุปผาของจวนอ๋องกลับมิได้ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้ เพราะการมาถึงของจ้าวต้งหลังจากนั้นทำให้ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องต้องยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับแม่ทัพใหญ่นายใหม่อีก
ในอดีตจ้าวต้งเคยมาประจำการที่เหลียงโจว นอกจากเคยเห็นหานหลินเฟิงสมัยเป็นเด็กหนุ่ม ยังเคยพบกับท่านอ๋องและชายาเป่ยเจิ้นอ๋องด้วย แค่ว่าตอนนั้นเขายังไม่ใช่ราชบุตรเขย ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องถึงไม่ใคร่ให้ความสำคัญกับทหารชั้นผู้น้อยนายหนึ่ง
บัดนี้จ้าวต้งไม่เพียงเป็นราชบุตรเขย ทว่ายังเป็นแม่ทัพใหญ่ที่ดูแลความปลอดภัยของเหลียงโจว ทำให้ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องต้องตั้งอกตั้งใจเตรียมการต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติจากเมืองหลวงเป็นพิเศษอีกคราหนึ่ง
ส่วนบุปผาหยกขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือที่ไม่ได้มอบให้หวังอวิ๋นกับภรรยา ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องสั่งให้คนหยิบออกมาเตรียมมอบให้จ้าวต้งเป็นของขวัญแรกพบในคราวนี้
ครั้นหานหลินเฟิงไปต้อนรับจ้าวต้งที่ฮุ่ยโจวและติดตามเขามาถึงหน้าประตูจวนอ๋องที่เหลียงโจวด้วยกัน ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องถึงพบว่ายังมีสตรีลงมาจากรถม้าด้วย
ถึงตอนนั้นจ้าวต้งจะจากมาโดยไม่บอกไม่กล่าว องค์หญิงอวี๋หยางก็ไล่ตามมาตลอดทางแล้วเดินทางมาที่เหลียงโจวพร้อมกับเขา
ตามคำกล่าวขององค์หญิงอวี๋หยางคือ ‘ในราชสำนักแคว้นต้าเว่ยมีขุนนางพาภรรยามาสนามรบด้วยกันอยู่ถมเถไป ข้าหาใช่คนแรกไม่! ถึงไม่อาจอยู่เคียงข้างกันที่แนวหน้าได้ตลอดเวลา แต่ได้อยู่ใกล้ๆ เขาข้าก็อุ่นใจแล้ว’
องค์หญิงอวี๋หยางมาถึงอย่างกะทันหัน ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องจึงไม่ทันได้เตรียมการใหญ่โตอย่างสมเกียรติ เป็นเหตุให้นางตื่นตระหนกยกใหญ่ กุลีกุจอสั่งพวกบ่าวไพร่สาวใช้ให้นำถ้วยชาลายบุปผาสีชาดกลางทิวทัศน์ธรรมชาติที่ไม่ได้ใช้บ่อยชุดนั้นออกมารับรององค์หญิง
องค์หญิงอวี๋หยางไม่ได้พบสหายเก่ามานาน นางไต่ถามทุกข์สุขกับชายาเป่ยเจิ้นอ๋องตามมารยาทสองสามคำแล้วก็หันไปจับมือซูลั่วอวิ๋นมองสำรวจขึ้นๆ ลงๆ คราหนึ่งอย่างสนิทสนม
“ไม่ได้พบเจ้านานแล้ว รู้สึกคิดถึงยิ่งนัก…สายลมหนาวเหน็บทารุณของเหลียงโจวกลับไม่ทำให้ผิวพรรณของเจ้าแห้งกร้าน มิหนำซ้ำยังผ่องใสเปล่งปลั่งกว่าแต่ก่อน…”
ซูลั่วอวิ๋นย่อมอมยิ้มพูดโต้ตอบกับองค์หญิง ทำให้ประมุขหญิงของจวนอ๋องตัวจริงอย่างชายาเป่ยเจิ้นอ๋องตีหน้าเก้อไปชั่วขณะ
นางเคยได้ยินบุตรสาวบอกว่าซูลั่วอวิ๋นเป็นที่ต้อนรับของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงอย่างมาก
ตอนแรกชายาเป่ยเจิ้นอ๋องยังไม่เชื่อ ตอนนี้นางได้เห็นแล้ว องค์หญิงอวี๋หยางที่เย่อหยิ่งถือตัวจนเป็นที่เล่าลือมาแต่ไหนแต่ไรมีไมตรีกับซูลั่วอวิ๋นไม่เลวจริงๆ นางคิดจะพูดแทรกก็หาจังหวะไม่ได้สักนิด
ทว่าพูดคุยสัพเพเหระกันไปครู่หนึ่ง องค์หญิงอวี๋หยางก็พูดติเรื่องเครื่องแต่งกายของซูลั่วอวิ๋นเล็กน้อย “ไฉนเจ้าถึงแก้อาภรณ์เป็นแขนสอบเช่นนี้เล่า ประเดี๋ยวข้าจะเอาผ้าจากเมืองหลวงให้เจ้า เจ้าตัดชุดใหม่อีกสองสามชุด จริงด้วย อย่าใช้ช่างตัดเย็บอาภรณ์ที่นี่ ใช้คนที่ข้าพามาเถิด มิฉะนั้นแพรพรรณดีเพียงใดก็ตัดออกมาล้าสมัยหมด”
คำพูดโดยไม่ตั้งใจขององค์หญิงอวี๋หยางทำให้ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องมีสีหน้าจืดเจื่อนอีกครั้ง เพราะว่าชุดที่ลูกสะใภ้สวมใส่วันนี้นางเป็นคนเอาไปให้ช่างตัดเย็บอาภรณ์แก้แบบเอง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 ธ.ค. 67