ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 9
ซูลั่วอวิ๋นเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ความตั้งใจแรกที่ข้าปรุงเครื่องหอมนี้ขึ้นก็เป็นความต้องการฝ่ายเดียว เดิมทีข้าคิดว่าหลายปีมานี้ร้านโส่วเว่ยขายเครื่องหอมกลิ่นที่ท่านแม่ข้าปรุงขึ้นก่อนเสียชีวิตอยู่ไม่กี่กลิ่นนั่นมาโดยตลอด บรรดาผู้สูงศักดิ์น่าจะเบื่อหน่ายแล้ว ถ้าข้าช่วยเหลือท่านพ่อได้ก็ถือว่าเป็นการแสดงความกตัญญูของบุตรสาว แต่พวกท่านไม่เคยคิดว่าข้าเป็นคนสกุลซู ทั้งยังมีคนรังเกียจว่าข้าตาบอด อยู่ที่จวนขวางหูขวางตา หากเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่จำเป็นต้องหยิบยื่นไมตรีให้คนที่ไม่เห็นค่า หาอารามชีสักแห่งออกบวชเสียก็สิ้นเรื่อง จะได้ไม่ต้องเอาเรือมารับส่งให้เหนื่อยหน่ายใจ! ส่วนเรื่องทางโลกไม่ใช่กงการอะไรของผู้ออกบวช!”
คำพูดนี้ของนางคล้ายกับเด็กที่รู้สึกน้อยใจ แต่ซูหงเหมิงรู้ฤทธิ์เดชของบุตรสาวบังเกิดเกล้าดี หากนางน้อยใจจนออกบวชจริงๆ ถึงเวลาองค์หญิงลงโทษสกุลซูก็ไม่ใช่กงการอะไรของซือไท่น้อยผู้นี้
อีกทั้งซูลั่วอวิ๋นก็พูดมีเหตุผล การค้าในช่วงสองปีนี้ของร้านโส่วเว่ยเริ่มซบเซาลงจริงๆ หูซื่อผู้นั้นเป็นยอดฝีมือปรุงเครื่องหอม แต่เมื่อก่อนไม่เคยเห็นว่าบุตรสาวจะมีความสามารถนี้เช่นกัน ทำให้เขาผู้เป็นบิดาต้องเปลี่ยนความคิดที่มีต่อนางจริงๆ
ถ้าซูลั่วซูอวิ๋นมีฝีมือเช่นเดียวกับมารดาที่ด่วนจากไปจริงๆ นางก็จะเป็นผีซิว เรียกทรัพย์ของสกุลซูทีเดียว! อยากอัญเชิญมาไว้ในจวนแทบไม่ทันต่างหากเล่า!
“เหลวไหล! ไข่มุกกลางฝ่ามือของข้าซูหงเหมิงจะปลงผมออกบวชได้หรือไร มารดาเจ้าคงกลัวว่าเจ้าจะคิดถึงบ้านเดิมถึงได้เอ่ยขึ้น เจ้ายังอยู่ในจวนสกุลซูมิใช่หรือ หากข้าไม่ตกลง ใครหน้าไหนก็ส่งเจ้ากลับไปไม่ได้”
ติงเพ่ยได้ยินคำพูดนี้แล้วก็ทำหน้าเจื่อนอย่างเห็นได้ชัด นางลูบฝาถ้วยชาโดยไม่พูดไม่จา
นางรู้ว่าซูหงเหมิงเกลียดชังคนที่ขัดลาภเป็นที่สุด ขณะนี้ให้ซูลั่วอวิ๋นมอบตำรับเครื่องหอมให้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ต่อให้ถูกสามีฉีกหน้าก็ต้องฝืนทนไว้
ซูลั่วอวิ๋นกล่าวช้าๆ ว่า “ถ้อยคำที่ฮูหยินใหญ่กล่าวเมื่อครู่นี้แม้ว่าจะไม่เจตนา แต่กลับเตือนสติข้าว่าตอนนี้หากคนตาบอดเช่นข้าไม่มีบิดาก็จะเป็นดั่งหญ้าป่าที่ไร้รากถูกลมพัดพาไปที่ใดก็สุดรู้…ถ้ามีเงินทองอยู่ในมือบ้าง ข้าจะได้อุ่นใจขึ้น เอาอย่างนี้แล้วกัน ท่านพ่ออยากได้ขี้ผึ้งหอมตั้นหลีนี้ก็ย่อมได้ ข้าจะปรุงให้ท่านพ่อนำไปมอบให้จวนราชบุตรเขย แต่ว่า…ท่านพ่อต้องตกลงยกหุ้นร้านโส่วเว่ยให้ข้าสามส่วน”
เดิมทีซูหงเหมิงฟังคำพูดของบุตรสาวแล้วยังรู้สึกว่านางเริ่มสำนึกตนได้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่านางจะถอนฟืนใต้กระทะจู่ๆ ก็เอ่ยปากขอหุ้นลมของร้าน เขาจึงพูดอย่างเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟทันควัน
“เหลวไหล! ข้ายังมีชีวิตอยู่ ไม่ต้องให้เจ้ามาแบ่งทรัพย์สมบัติแทนข้า! พวกน้องชายของเจ้ายังไม่มีหุ้นด้วยซ้ำ สตรีเช่นเจ้ากล้าขอโดยไม่ละอายปากได้อย่างไร”
ซูลั่วอวิ๋นล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกเสื้อ “ท่านพ่ออาศัยตำรับของท่านแม่สะสมทรัพย์สมบัติได้มหาศาล ตอนนั้นท่านแม่ไม่ได้ขอหุ้นก็ไม่เห็นว่าท่านแม่จะหลงเหลืออะไรติดตัว แล้วตอนที่กิจการของตระกูลท่านยายเกิดปัญหาเงินขาดมือ ต้องการเงินก้อนใหญ่ ท่านพ่อก็นิ่งดูดาย จากจุดนี้เห็นได้ชัดว่าเรื่องเงินทองไม่เข้าใครออกใครแม้จะเป็นญาติพี่น้องกัน ส่วนบิดากับบุตรสาวก็ต้องแบ่งแยกบัญชีกันให้ชัดเจน ในเมื่อมีความสามารถทำมาหากินได้ก็ต้องเปลี่ยนเป็นทองแท้เงินจริงมาถือไว้ในมือจะดีกว่า”
ซูหงเหมิงถูกขุดคุ้ยเรื่องในอดีตก็โกรธจนใบหน้าแดงก่ำ พูดอย่างฉุนเฉียวว่า “เจ้าคิดว่าข้าควบคุมเจ้าไม่ได้รึ อย่านึกว่าเจ้าปรุงขี้ผึ้งหอมสวะๆ ออกมาก็จะชี้นิ้วสั่งบิดาเจ้าได้”
ซูลั่วอวิ๋นกล่าวเสียงเรียบดังเดิม “ข้าเป็นสตรี อีกทั้งตั้งใจว่าจะไม่ออกเรือนชั่วชีวิต เก็บสะสมเงินทองติดตัวไว้มีอันใดไม่ถูกต้อง สำหรับน้องชายทั้งสามก็คงไม่ต่อว่าลูกเช่นกัน ได้ยินว่าสองปีมานี้ในเมืองหลวงมีร้านเครื่องหอมตั้งขึ้นใหม่หลายร้าน เช่นนั้น…ให้ข้าเอาตำรับไปลองถามพวกเขาดีหรือไม่ ในเมื่อเป็นเครื่องหอมที่ต้องพระทัยองค์หญิง ไม่นานนักก็คงแพร่สะพัดไปทั้งเมืองหลวง อย่างไรก็ต้องมีคนสายตาเฉียบคมยินยอมจ่ายเงิน”
ติงเพ่ยส่งเสียงพูดขึ้นมาในที่สุด “นี่เจ้ามิใช่กินในโกยนอก หรือไร เจ้าคิดว่าสภาพเจ้าในตอนนี้จะเอาตำรับเครื่องหอมออกไปตระเวนขายตามที่ต่างๆ ได้หรือ”
วาจาของนางมีนัยข่มขู่อย่างเห็นได้ชัด แต่ก็เตือนสติซูหงเหมิงด้วยว่าถ้าเกิดแตกหักกันจะกักขังบุตรสาวตาบอดไว้ย่อมเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกิน เหตุใดจะต้องปล่อยให้ซูลั่วอวิ๋นกำเริบเสิบสานเอาตำรับเครื่องหอมไปขายด้วยเล่า
ซูหงเหมิงได้ติงเพ่ยเอ่ยเตือนอย่างถูกจังหวะ เขาก็ได้สติทันที อ้าปากจะตะโกนเรียกให้คนหยิบไม้เรียวมาตีมือซูลั่วอวิ๋นเป็นการลงโทษ
เถียนมามาร้อนใจอย่างยิ่ง รู้สึกว่าคุณหนูใหญ่ใจร้อนเกินไป นางอาศัยใต้ชายคาจวนสกุลซูอยู่ จะแสดงความก้าวร้าวล่วงเกินคนเช่นนี้ได้ที่ไหน
แต่ซูลั่วอวิ๋นกลับหลุบตาลงพลางกล่าวว่า “ข้าเป็นคนตาบอด จะออกไปขายของข้างนอกคงไม่ถนัด โชคดีที่ไหว้วานท่านน้าเล็กให้ทำแทนได้ เขามีลู่ทางกว้างขวาง ย่อมช่วยข้าจัดการให้เรียบร้อยได้”
ซูหงเหมิงถลึงตาใส่บุตรสาวอย่างดุดัน ความคิดในหัวแล่นเร็วรี่หลายตลบ เขารู้จักบุตรสาวหัวรั้นคนนี้ดี ยามปกติยังพอทำเนา แต่เวลาแผลงฤทธิ์ขึ้นมาไม่เกรงฟ้าดิน ก่อกวนผู้อื่นไม่ให้อยู่เป็นสุข ไม่มีความเป็นกุลสตรีเช่นมารดาของนางแม้สักเศษเสี้ยว นางมอบตำรับเครื่องหอมให้หูเสวี่ยซงไปแล้ว เห็นทีว่าคิดจะแตกหักกับเขา
หากเป็นแค่ตำรับเครื่องหอมตำรับหนึ่งก็ช่างปะไร สกุลซูที่ใหญ่โตของเขาหาได้อยากได้ใคร่มีไม่! แต่เผอิญว่าองค์หญิงอวี๋หยางส่งคนมาถาม…
นางลูกเนรคุณคนนี้! ถ้านางดื้อดึงไม่ยอมมอบตำรับให้จนเขาต้องล่วงเกินองค์หญิง เช่นนั้นขาที่เพิ่งก้าวข้ามประตูสู่เส้นทางขุนนางได้ไม่ทันไรคงต้องหักด้วนเป็นแน่แท้
นางลูกไม่รักดี! คงมิใช่ว่าท่านน้าของนางออกความคิดให้ลับหลังกระมัง!
จังหวะนี้เองซูลั่วอวิ๋นก็กล่าวต่อไปอีกคำด้วยน้ำเสียงไม่หนักไม่เบา “ท่านพ่อใจแคบถึงเพียงนี้เชียวหรือเจ้าคะ ถ้าท่านมีชีวิตอยู่ยังพอทำเนา ถึงอย่างไรก็ไม่ละเลยข้า แต่ถ้าหากวันใดท่านไม่อยู่แล้ว ข้าไม่มีเงินทองในมือ เช่นนั้นคงต้องกลายเป็นหญิงตาบอดกำพร้าบิดามารดาจริงๆ สกุลซูที่ใหญ่โตจะมีที่ให้ข้าพึ่งพาที่ไหน…”
พอพูดถึงตรงนี้ ดวงตาไร้แววของซูลั่วอวิ๋นก็มีน้ำตาเอ่อคลอฉับพลัน นางถอนสะอื้นก่อนร่ำไห้ออกมา ผ้าเช็ดหน้าที่หยิบออกมาเมื่อครู่นี้ก็ได้ใช้ประโยชน์แล้ว
แต่ไหนแต่ไรมาซูหงเหมิงเป็นคนชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง ในกาลก่อนเขาไม่เคยเห็นบุตรสาวคนโตร้องไห้ต่อหน้าตนเองโดยไม่สะกดกลั้นเช่นนี้เลย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 ต.ค. 67