สาวใช้คนนี้เพิ่งมาใหม่ เป็นธรรมดาที่จะไม่รู้ว่า ‘นาง’ ที่คุณหนูรองเอ่ยถึงด้วยความกริ่งเกรงผู้นั้นเป็นใคร ด้วยเหตุนี้ตอนติดตามสี่เชวี่ยไปรับค่าจ้างรายเดือนที่ห้องบัญชี นางจึงไต่ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
สาวใช้หน้าใหม่ผู้นี้มีนามว่าหมิงฉาน เป็นญาติห่างๆ ของสี่เชวี่ย ดังนั้นสี่เชวี่ยจึงมักช่วยเหลือดูแลอีกฝ่ายเสมอ พอหมิงฉานถาม นางก็เอ่ยตอบอย่างใจเย็น
“เจ้าคงรู้แล้วว่าคุณหนูรองยังมีพี่สาวอีกคน แม้จะเป็นบุตรสาวภรรยาเอก แต่ไม่ใช่สายเลือดฮูหยินของพวกเรา”
หมิงฉานพยักหน้าพร้อมพูดทันที “เรื่องนี้ข้ารู้ ก่อนหน้าฮูหยินของพวกเรายังมีฮูหยินสกุลหูที่ด่วนจากไปอีกท่านหนึ่ง ฮูหยินท่านนั้นมีบุตรชายหนึ่งคน บุตรสาวหนึ่งคน…แต่ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ประสบอุบัติเหตุกลายเป็นคนตาบอดแล้วถูกส่งไปอยู่บ้านเดิม…”
นางยังกล่าวไม่ทันจบ สี่เชวี่ยก็ถลึงตาใส่ “เจ้าพูดมากนัก ควรเปลี่ยนชื่อเป็นหูลู่เสียจริง จำไว้…หากอยากทำงานในเรือนคุณหนูรอง อย่าได้เอ่ยถึงคุณหนูใหญ่”
พอพูดถึงขั้นนี้ หมิงฉานเริ่มกระจ่างแจ้งแล้วว่าที่แท้คนที่คุณหนูรองไม่อยากพบคือพี่สาวต่างมารดาผู้นั้นนั่นเอง
เรื่องที่คุณหนูใหญ่สกุลซูมีอาการผิดปกติที่ดวงตาเมื่อสองปีที่ผ่านมา นางมีรูปโฉมงดงาม ว่ากันว่าผู้อาวุโสของสกุลซูกับสกุลลู่จับคู่ให้นางกับคุณชายลู่หมั้นหมายกันตั้งแต่วัยเยาว์ เดิมทีควรจะเป็นคุณหนูใหญ่ผู้นั้นที่ได้แต่งเข้าสกุลลู่
หากมิใช่คุณหนูใหญ่ตาบอดในภายหลัง ไม่ว่าอย่างไรตำแหน่งสะใภ้สกุลลู่ก็ไม่มีทางตกเป็นของคุณหนูรองไปได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ความคิดในใจที่ซับซ้อนตามประสาสตรีของคุณหนูรองก็เป็นที่เข้าใจได้ในบัดดล แต่ดูไปแล้วตอนนี้คุณหนูใหญ่ผู้นั้นไม่น่าเวทนากว่าหรือ!
สตรีที่เพิ่งอายุสิบแปดปีนางหนึ่งกลับต้องพิการทางสายตา ตระกูลดีๆ ที่ใดจะอยากได้ลูกสะใภ้ตาบอดเล่า
แต่หากให้นางออกเรือนไปเป็นอนุ ติงเพ่ยภรรยาเอกของนายท่านใหญ่สกุลซูในขณะนี้จะถูกครหาว่าใจดำกับลูกเลี้ยงอย่างช่วยไม่ได้ มิหนำซ้ำยังได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ผู้นั้นเป็นคนทะนงตนเสียด้วย ก่อนหน้านี้ครอบครัวจะยกนางให้บัณฑิตซิ่วไฉ ยากจนคนหนึ่ง แต่หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรนางก็ไม่ยินยอม เป็นเหตุให้สองพ่อลูกทะเลาะกันยกใหญ่
หลังนายท่านใหญ่สกุลซูคิดทบทวนแล้วจึงส่งคุณหนูใหญ่กลับไปอยู่บ้านเดิม ในเมื่อนางไม่อยากออกเรือนเขาก็ไม่ฝืนใจ เพียงยกนางขึ้นทูนศีรษะเป็นบุตรสาวบังเกิดเกล้า เลี้ยงดูกันไปจนกว่าจะแก่ตาย!
เวลานี้สกุลซูมีเรื่องมงคลไม่ขาดสาย นายท่านใหญ่สกุลซูก็คร้านจะตั้งแง่กับบุตรสาวคนโตนิสัยแปลกประหลาดและหัวรั้นคนนั้น ครานี้กลับไปบ้านเดิม หากบุตรสาวบังเกิดเกล้าทนความเงียบเหงาของบ้านเดิมไม่ไหว คิดได้เองแล้วมาพูดขอร้อง เขาผู้เป็นบิดาย่อมอ่อนข้อให้ มองหาคู่ครองที่เหมาะสมพร้อมเพิ่มสินเดิมเจ้าสาวมากขึ้นให้นางได้ออกเรือนเป็นอันสิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป
ขณะอยู่บนเรือเดินทางกลับไปนายท่านใหญ่สกุลซูก็กล่าวกับบุตรชายสามคนของตนว่า “นับแต่นี้เป็นต้นไปสกุลซูถือเป็นตระกูลขุนนาง ข้าปูทางไว้ให้บุตรหลานเช่นพวกเจ้าแล้ว ต่อให้กลับบ้านเดิมพวกเจ้าทั้งสามจะเกียจคร้านไม่ทบทวนตำราไม่ได้”
บุตรชายสองคนของเขาที่เกิดกับติงซื่อห่างกันหนึ่งปี คือซูจิ่นกวนอายุสิบสี่ปี กับซูจิ่นเฉิงอายุสิบสามปี ติงซื่อมีพวกเขาสองคนตอนอยู่กับนายท่านใหญ่สกุลซูที่เมืองเฉิงตูซึ่งถูกขนานนามว่า ‘จิ่นกวนเฉิง’ หรือ ‘นครแพรหลวง’ จึงนำคำนี้มาตั้งชื่อเพื่อสื่อนัยถึงสถานที่ถือกำเนิดของพวกเขา
แล้วทั้งสองก็เปล่งประกายดุจแพรไหมสมชื่อ ตั้งแต่เริ่มรู้ความก็เล่าเรียนเขียนอ่านกับอาจารย์อย่างได้เรื่องได้ราว เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วซูกุยเยี่ยนบุตรชายของหูซื่อที่ล่วงลับไปแล้วกลับดูด้อยความสามารถมากกว่า
ตอนที่ซูหงเหมิงได้ยินซูกุยเยี่ยนท่อง ‘ฎีกาออกศึก’ ติดๆ ขัดๆ ก็โกรธจนควันออกหู ชี้หน้าบุตรชายคนโตพลางดุด่า
“เสียทีที่เจ้าอายุตั้งสิบหกปีแล้ว มิหนำซ้ำยังเข้าสำนักศึกษาก่อนน้องชายสองคนถึงสองปี ในสมองของเจ้ายัดขี้เลื่อยไว้หรืออย่างไร”
ใบหน้าที่คมคายหมดจดของซูกุยเยี่ยนได้รับถ่ายทอดจากมารดา ดูหล่อเหลามีสง่าราศี เพียงแต่น่าเสียดายที่มีดีแค่รูปสมบัติ
เด็กหนุ่มถูกบิดาใช้นิ้วจิ้มหน้าผากจนร่างเซถอยหลังไปสองก้าวอย่างยั้งไม่อยู่ อีกทั้งเรือยังโคลงเคลงไปมา ทำให้ล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น ขอบตาของเขาเริ่มแดงเรื่อด้วยความเจ็บ
น้องชายสองคนเห็นพี่ชายล้มลงไปกับพื้นก็ไม่กล้าเข้าไปพยุง ด้านซูจิ่นเฉิงคุณชายสามยังลอบหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่
เวลานี้เองติงซื่อก็พาสาวใช้เดินเข้ามา นางมองซูกุยเยี่ยนก่อนคลี่ยิ้มเอ่ยกับนายท่านใหญ่สกุลซู “อยู่ดีๆ ก็หัวเสียดุด่าบุตรชายอีกแล้ว ก่อนหน้านี้ท่านเพิ่งฟื้นฟูร่างกายได้ไม่ทันไรเองนะเจ้าคะ ท่านหมอบอกไว้ว่ากินยาอยู่ไม่ควรโมโห เยี่ยนเอ๋อร์เรียนช้ามาแต่ไหนแต่ไร มิใช่เรื่องที่เกิดขึ้นแค่วันสองวันนี้ ท่านจะโกรธให้เสียสุขภาพตนเองไปไย…”
ขณะที่กล่าววาจานี้ติงซื่อก็ขยิบตาให้ลูกเลี้ยงที่นั่งอยู่บนพื้นเป็นเชิงบอกให้เขารีบหลบออกไป