ยามนั้นเขาเห็นว่าเด็กสาวคนหนึ่งรับช่วงดูแลทรัพย์สินที่นาตั้งแต่อายุยังน้อยไม่ใช่เรื่องดีอันใด ทั้งยังสั่งสอนบุตรสาวด้วยความหวังดีเพราะเหตุนี้
แต่บุตรสาวกลับยกคำสั่งเสียของมารดามาอุดปากเขา เพียงบอกว่านั่นเป็นเงินที่หูซื่อทิ้งไว้ให้พวกนางสองพี่น้อง นางจะใช้สอยอย่างไรไม่จำเป็นต้องให้บิดาวุ่นวายใจ
บุตรสาวหัวรั้นไม่อยู่ในโอวาทเช่นนี้ ซูหงเหมิงจะทนไหวได้อย่างไร เขาเรียกผู้อาวุโสของสกุลซูมาทันทีแล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าสินเดิมเจ้าสาวของหูซื่อไม่จำเป็นต้องให้เขาดูแลก็ได้ แต่ถ้าการอบรมสั่งสอนบุตรคู่นี้ไม่ใช่หน้าที่ของเขาอีก เช่นนั้นก็พูดจาให้ชัดเจนไปเสีย เขาจะได้ให้ซูลั่วอวิ๋นพาน้องชายของนางไปใช้ชีวิตกันเอง วันหลังไม่จำเป็นต้องอยู่ในฐานะบุตรหลานสกุลซูแล้ว
เวลานั้นกิจการของครอบครัวท่านตาท่านยายอยู่ในช่วงตกต่ำลงเรื่อยๆ ซูลั่วอวิ๋นไม่สามารถพาน้องชายไปพึ่งพาอาศัยสกุลหูได้
ถึงวันหน้าสองพี่น้องจะตั้งตระกูลใหม่ ถ้าซูกุยเยี่ยนทำการค้ายังพอทำเนา แต่ถ้าเข้าสู่เส้นทางขุนนางก็หมดหวังแล้ว แคว้นต้าเว่ยไม่ได้ห้ามบุตรหลานของพ่อค้าเข้าร่วมการสอบขุนนาง ทว่าบุตรหลานอกตัญญูที่ถูกขับออกจากวงศ์ตระกูล ทำให้วงศ์ตระกูลเสื่อมเสียชื่อเสียง แม้แต่การสอบถงซื่อก็ยากจะผ่านด่านไปได้
เพื่ออนาคตของน้องชาย ซูลั่วอวิ๋นที่ไม่เคยโอนอ่อนผ่อนตามมาโดยตลอดต้องยอมลดราวาศอกในที่สุด แม้ซูหงเหมิงไม่ได้ดูแลสินเดิมเจ้าสาวของมารดา แต่เงินที่นางจะใช้สอยหลังจากนั้นต้องได้รับอนุญาตจากบิดาเสียก่อน
ทว่าหลังจากดวงตาทั้งคู่ของนางมองไม่เห็น ซูหงเหมิงกลับเริ่มลืมตาข้างหลับตาข้างกับการใช้เงินที่มากขึ้นของนาง ถึงอย่างไรก็เป็นเงินทองก้อนเล็กๆ ที่หูซื่อทิ้งไว้เพื่อเพิ่มสินเดิมเจ้าสาวของบุตรสาวให้สมหน้าสมตา
หากซูลั่วอวิ๋นไม่อยากออกเรือนและไม่อยากเหลือเงินทองให้น้องชาย จะใช้สุรุ่ยสุร่ายจนหมดก็ย่อมได้
ถ้าบุตรสาวบังเกิดเกล้าใช้เงินแล้วสบายใจขึ้น เขาก็ยินดีผลาญเงินเพื่อขจัดเภทภัย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าซูลั่วอวิ๋นไม่ได้ใช้เงินกองกลางอีกด้วย
พวกคุณชายคุณหนูคนอื่นๆ ของจวนสกุลซูต่างรู้สึกอิจฉาที่พี่สาวคนโตมีเงินใช้จ่ายสบายมืออย่างยิ่ง แต่ไหนแต่ไรมาตามคำสอนของบรรพบุรุษสกุลซูคือจะไม่เลี้ยงดูบุตรหลานเสเพล ถึงแม้ซูหงเหมิงผู้มั่งมีจะพิถีพิถันเรื่องการกินอยู่ แต่กลับตระหนี่กับบุตรชายบุตรสาวเป็นนิจ ดำเนินชีวิตตามอย่างตระกูลที่ซื่อสัตย์สุจริต คุณชายคุณหนูในจวนจึงได้รับเงินใช้สอยรายเดือนน้อยนิดจนน่าใจหาย
ขณะนี้เห็นพี่สาวคนโตอยู่อย่างอิสระที่เรือนหลังเก่าเช่นนี้ จะไม่ชวนให้ริษยาเป็นทวีคูณได้อย่างไร
ซูไฉ่เจียนถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม พอย่างเท้าเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ก็พบว่าพื้นด้านในยังปูด้วยหินกรวดไว้อีก ฝ่าเท้าที่แสนนุ่มนิ่มทั้งคู่ก็ทนไม่ไหวแล้ว นางบ่นอุบอิบกับมารดา ติงซื่อจึงเรียกหญิงรับใช้ไปที่ห้องเก็บของเพื่อหยิบพรมผืนหนาที่ใช้ตอนทำพิธีเซ่นไหว้มาปูบนพื้น
เมื่อมีพรมผืนหนาปูพื้น เท้าที่สวมรองเท้าผ้าปักพื้นบางก็สบายขึ้นมาก เวลานี้เองซูกุยเยี่ยนซึ่งอยู่ด้านข้างเงียบๆ ไม่พูดไม่จามาตลอดก็อดเอ่ยปากขึ้นไม่ได้
“พี่ลั่วอวิ๋นใช้หินกรวดปูพื้นเพราะตาของนางมองไม่เห็น จึงทำเครื่องหมายไว้บนพื้นจะได้ไม่เดินชน ตอนนี้เอาพรมมาปูพื้นเกรงว่า…”
ในจดหมายที่เขากับพี่สาวส่งถึงกันจะเล่าเรื่องชีวิตประจำวันด้วย ซูกุยเยี่ยนจึงรู้ประโยชน์ของหินกรวดพวกนี้
เขายังพูดไม่ทันจบ ซูจิ่นกวนก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแส “ใช่ว่าข้างกายนางจะไม่มีบ่าวไพร่ ต่อให้ไม่ได้ตาบอดก็ต้องมีคนคอยประคอง จะปล่อยให้นางล้มได้หรือ”
ซูกุยเยี่ยนปิดปากเงียบตามความเคยชิน เขารู้นิสัยของพี่สาวตนเองดีที่สุด นางนับเป็นหนึ่งในใต้หล้าเรื่องไม่ยอมแพ้ใคร มีหรือจะยอมเดินไปไหนมาไหนด้วยการคลำทางหรือให้คนประคอง
ยามนึกถึงท่าทางเจ็บปวดทุกข์ทนจนไม่ยอมพบหน้าใครของพี่สาวเมื่อเริ่มแรกที่มองไม่เห็น ขอบตาของเด็กหนุ่มวัยสิบหกปีก็ค่อยๆ แดงก่ำ หากไม่มีหินกรวดบนพื้นคอยบอกทาง อีกสักพักพอพี่ลั่วอวิ๋นมาพบท่านพ่อคงต้องขายหน้าเป็นแน่ นางไม่เต็มใจเผยท่าทีประหม่าต่อหน้าผู้คนมากที่สุด…
แต่คำพูดของเขาไม่ได้รับความสนใจจากบิดาอย่างเห็นได้ชัด เดิมทีบิดาตั้งใจจะตอบ ทว่าน่าเสียดายที่มารดาเลี้ยงพูดแทรกขึ้นมา หันเหหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องสัพเพเหระว่าจะไปเยี่ยมคารวะญาติพี่น้องที่บ้านเดิม
หลังจากนั้นคนทั้งครอบครัวก็นั่งล้อมวงดื่มชากับขนมกันที่โต๊ะ ติงซื่อให้สาวใช้ยกอ่างสำริดสำหรับล้างมือไปวางไว้ข้างประตู บอกว่าภายในเรือนอากาศแห้งเกินไป ต้องเพิ่มความชื้นสักหน่อย
เพราะเมื่อครู่ปูพรมบนพื้น โต๊ะเก้าอี้กับตู้จึงถูกย้ายตำแหน่งทั้งหมด ทำให้ห้องโถงใหญ่ที่ใช้รับรองไม่ค่อยเป็นระเบียบ เหล่าเฟิงตั้งใจจะเรียกคนมาจัดวางให้เข้าที่ แต่ติงซื่อพูดว่าไม่ต้องรีบร้อน รอนายท่านนอนพักกลางวันค่อยเก็บกวาดให้เรียบร้อยอีกทีก็ไม่สาย
ขณะที่ทุกคนกำลังดื่มชาอยู่ ติงซื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเถียนมามาหญิงรับใช้ของซูลั่วอวิ๋นพาสาวใช้นามว่าเซียงเฉ่ามายืนอยู่ตรงนอกประตูห้องโถง
ติงซื่ออมยิ้มพลางตะโกนถาม “เถียนมามา เหตุใดไม่เข้ามาคารวะทักทายข้างในห้องโถงเล่า”