เถียนมามายืนเงียบๆ อยู่ตลอด แต่ดวงตาที่อยู่ภายใต้เปลือกตาหย่อนคล้อยมองสำรวจห้องโถงใหญ่ทุกซอกมุม จวบจนติงซื่อส่งเสียงเรียกขานนางถึงได้ก้าวเท้ามาข้างหน้าสั้นๆ ก้าวหนึ่งแล้วคารวะ จากนั้นก็กล่าวอย่างสำรวมมีมารยาทด้วยท่าทางไม่โอหังไม่ถ่อมตน
“บ่าวเห็นนายท่านกับฮูหยินคุยกันอยู่อย่างสนุกเพลิดเพลิน เกรงว่าจะเป็นการรบกวนให้พวกท่านเสียอารมณ์ เดิมทีตั้งใจรอจังหวะให้พวกท่านหยุดพักสนทนาค่อยคารวะทักทายเจ้าค่ะ”
เถียนมามาเป็นหญิงรับใช้เก่าแก่ของหูซื่อและเป็นบ่าวผู้ซื่อสัตย์ที่หูซื่อฝากฝังบุตรกำพร้าของตนไว้ก่อนเสียชีวิต นางเป็นคนเงียบขรึมพูดน้อยมาแต่ไหนแต่ไร นอกจากเรือนของคุณหนูใหญ่แล้วก็แทบจะไม่ได้ไปที่ใด ปกติติงซื่อมักจับผิดอะไรนางไม่ได้
ติงเพ่ยฟังคำอธิบายของเถียนมามาแล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “คนในครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น รบกวนอะไรกัน ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว แสดงว่าอวิ๋นเอ๋อร์ก็กลับมาแล้วเช่นกัน ตอนนี้นางอยู่ที่ใด นายท่านกำลังอยากพบนางอยู่พอดี”
เถียนมามาก้มหน้าเอ่ยตอบ “ตอนคุณหนูใหญ่กลับมาถูกน้ำโคลนจากล้อรถม้ากระเด็นใส่กระโปรง จึงต้องล้างเนื้อล้างตัวสักเล็กน้อยถึงจะมาคารวะผู้อาวุโสได้ นางเกรงว่านายท่านกับฮูหยินจะรอด้วยความร้อนใจ จึงส่งบ่าวมารายงานให้ทราบ อีกสักพักบ่าวจะกลับไปรับคุณหนูใหญ่มาที่นี่เจ้าค่ะ”
ซูหงเหมิงโบกมือไปมา “รู้แล้ว บอกนางว่าไม่ต้องแต่งกายพิถีพิถันเกินไป คนในครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ถึงสวมอาภรณ์ลำลองมาพบก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม อีกสักพักข้ากับฮูหยินยังต้องพักผ่อนสักครู่ก่อนไปร่วมงานเลี้ยงยามค่ำพบปะสหายในอำเภออีก ให้นางมาคารวะตามธรรมเนียมก็พอ”
เถียนมามากวาดสายตามองห้องโถงใหญ่เงียบๆ อีกคราแล้วคารวะเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะพาสาวใช้กลับไปอย่างเร่งรีบ
ซูไฉ่เจียนรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ตอนแรกนางนึกว่าไม่ต้องพบพี่สาว ไฉนเลยจะคิดว่าพอกลับมาถึงก็ต้องพบกับอีกฝ่ายซึ่งๆ หน้า
นางหาได้กลัวซูลั่วอวิ๋นไม่ แต่พอนึกถึงฝีปากที่คมคายของพี่สาวก็หวั่นใจว่าอีกสักครู่คงต้องมีเรื่องทะเลาะหมางใจกันเช่นเคย นางถูกตามใจจนเคยตัว เรื่องน่ากลัดกลุ้มล้วนมีคนอื่นสะสางจัดการให้ มีเพียงยามเผชิญหน้ากับพี่สาวผู้นี้เท่านั้นที่ทำให้นางรู้สึกขุ่นข้องหงุดหงิดเพราะความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจ
แต่เมื่อนึกถึงสภาพอิดโรยปล่อยผมสยายของซูลั่วอวิ๋นตอนออกจากจวนไปในครั้งนั้น ในใจนางก็รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นบ้าง
ตั้งแต่เล็กจนโตมักมีคนยกนางกับพี่สาวมาเปรียบเทียบกันเสมอ ยามที่อยู่กับซูลั่วอวิ๋นพี่สาวของนาง ซูไฉ่เจียนไม่อาจโดดเด่นเทียบเท่าอีกฝ่าย ทว่าบัดนี้เห็นทีคงไม่มีใครเอานางไปเทียบกับคนตาบอดอีกแล้ว นี่นับว่าตรงกับคำกล่าวที่ว่า ‘อดทนรอยลแสงจันทร์หลังเมฆจาง’ ในอีกทางหนึ่งได้หรือไม่
ระหว่างที่คิดคำนึงอยู่เช่นนี้ เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากหน้าประตูอีกครั้ง เงาร่างปราดเปรียวร่างหนึ่งเดินนำหน้ามาปรากฏตัวที่นอกประตูห้องโถงใหญ่
ซูไฉ่เจียนเงยหน้ามองไปก็เห็นสตรีที่ย่างเท้าเข้ามามีเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น เสื้อคลุมยาวแขนกว้างพลิ้วเบาแบบเรียบง่ายทว่าสง่างามขับเน้นให้นางดูเพรียวระหงยิ่งขึ้น เรือนผมดำขลับรวบเป็นมวยอยู่กลางศีรษะ เผยลำคอขาวนวลเนียน ทั้งยังมีหน้าผากโหนกนูนเกลี้ยงเกลา เรียวคิ้วดกดำงามได้รูป ปลายหางคิ้วชี้ขึ้นน้อยๆ ลดทอนความนุ่มนวลของสตรีลง หากแต่ดูสง่าองอาจเฉกเช่นบุรุษเพิ่มขึ้นหลายส่วน
อันที่จริงจุดชวนมองที่สุดบนดวงหน้าขาวกระจ่างของนางยังคงเป็นนัยน์ตาคู่นั้น รูปตารียาว หางตาเฉียงขึ้นเล็กน้อยดุจตาหงส์ แววตาเปล่งประกายจางๆ ทำให้คนอดเพ่งมองอย่างจดจ่อไม่ได้
เพียงแต่ว่าดวงตาคู่นั้นงดงามก็จริงอยู่ ทว่ากลับขาดชีวิตชีวาไปสักหน่อย ทั้งยังจับจ้องอยู่ที่จุดหนึ่งในความว่างเปล่านิ่งๆ มิได้กลอกลูกตาไปมาสักนิด
กระนั้นดวงตาที่เลื่อนลอยไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อฝีเท้าที่ก้าวเดินอย่างคล่องแคล่วว่องไวของสตรีนางนั้น นางทิ้งสาวใช้ไว้ด้านหลัง ก้าวข้ามธรณีประตูเดินอ้อมผ่านอ่างสำริดที่ใส่น้ำวางไว้บนพื้น เยื้องย่างด้วยท่วงทีปราดเปรียวไปหยุดยืนตรงจุดที่อยู่ห่างจากโต๊ะสามก้าว จากนั้นก็ยอบกายคารวะอย่างอ่อนช้อย
“ท่านพ่อ ฮูหยินใหญ่ ข้ามาต้อนรับล่าช้าไปแล้ว โปรดลงโทษด้วยเจ้าค่ะ”
ซูหงเหมิงประหลาดใจอยู่บ้าง เขาอดลุกขึ้นยืนไม่ได้ จากนั้นก็ยื่นมือแล้วโบกไปมาตรงหน้าสตรีนางนี้พลางกล่าวอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
“ลั่วอวิ๋น…ดวงตาของเจ้ากลับมามองเห็นแล้วหรือ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 ก.ย. 67