หวงหร่างเอ่ยขึ้นอีก “นึกไม่ถึงว่าจะโชคดีได้รับการถ่ายทอดวิชาจากประมุขสำนักในความฝัน นี่เป็นการช่วยชีวิตข้าไว้คราหนึ่ง อาหร่างขอขอบคุณประมุขสำนัก”
เนิ่นนานเซี่ยหงเฉินจึงเอ่ยขึ้นในที่สุด “เช่นนั้น…เพราะเหตุใดตอนแรกเจ้าถึงปฏิเสธการสู่ขอของข้า”
นี่ไม่เหมือนคำพูดที่เขาจะเอ่ยถามออกมาสักนิด
เสียงของเขาค่อยๆ แผ่วลง แต่ยังคงเอ่ยต่อ “หากเคยถ่ายทอดวิชาร้อยปีในความฝัน ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้าน่าจะใกล้ชิดยิ่งมิใช่หรือ”
คำกล่าวนี้ของเขาทำให้เหอซีจินสองสามีภรรยารู้สึกกระอักกระอ่วน
หวงหร่างตรึกตรองครู่หนึ่งก่อนตอบ “ระหว่างที่ข้าค่อยๆ เติบโตขึ้น ข้าก็รู้ว่าคนที่ข้าตามหาคือคู่ครองที่รักข้า มิใช่แค่บุรุษที่มีฐานะสูงส่ง” นางมองเซี่ยหงเฉิน ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เขา “สองอย่างนี้แตกต่างกัน”
เซี่ยหงเฉินตกอยู่ในความเงียบงัน หวงหร่างกลับเปลี่ยนเรื่องพูดคุย
“หากประมุขสำนักยอมเชื่อข้า เช่นนั้นข้ายังมีอีกเรื่องอยากพูดกับประมุขสำนัก เพียงแต่…ต้องรอให้ข้าแต่งงานเสียก่อน”
“เจ้าสามารถพูดมาตอนนี้ได้” เซี่ยหงเฉินเอ่ย
หวงหร่างยิ้มแล้วปฏิเสธ “ตอนนี้ไม่ได้ จำต้องแต่งงานเสียก่อน”
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะรอจนกว่าแม่นางจะแต่งงาน” เซี่ยหงเฉินเงยหน้ามองไปยังหวงหร่าง ยามสบตาเขา หวงหร่างก็คลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน
ชั่วขณะนั้นเซี่ยหงเฉินถึงขั้นคิดว่าหากเขาทำเหมือนตี้อีชิว เอ่ยปากวิงวอนอย่างจริงใจ หวงหร่างจะเปลี่ยนใจหรือไม่ จะยอมเลื่อนการแต่งงานออกไป รออีกสักพักหนึ่งหรือไม่
ทว่าเขามิได้ทำ
เขากับตี้อีชิวเดิมทีก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
ครึ่งเดือนต่อมาเจ้ากรมซือเทียนตี้อีชิวกับใต้เท้าซือเสวียหวงหร่างก็แต่งงานกัน
ราชสำนักให้ความสำคัญกับการแต่งงานครั้งนี้มาก ขบวนเกียรติยศเดินทางไกลถึงพันหลี่ไปยังสำนักกระบี่หรูอี้เพื่อรับตัวเจ้าสาว
แม้แต่กรมอากรที่ตระหนี่มาแต่ไหนแต่ไรยังกัดฟันยอมหลั่งเลือด เตรียมลูกกวาดมงคลและเงินมงคลจำนวนมากโปรยไปตลอดทาง
หวงหร่างถูกชวีม่านอิงลากตัวขึ้นมากลางดึกเพื่อแต่งตัว
หวงจวินตรวจนับสินเดิมเจ้าสาวของหวงหร่างครั้งแล้วครั้งเล่า เหอชุ่ยกับเหอซีจินต้อนรับแขกเหรื่อแต่เช้าตรู่ ส่วนเหอตั้นไปสืบดูหลายคราว่าเกี้ยวรับตัวเจ้าสาวอยู่ตรงจุดใดแล้ว
ทุกคนต่างยุ่งวุ่นวาย สำนักกระบี่หรูอี้เต็มไปด้วยสีแดง บรรยากาศชื่นมื่น
ใต้เท้าเจ้ากรมสวมชุดแต่งงานสีแดงนั่งอยู่บนหลังม้า ขบวนรับตัวเจ้าสาวมุ่งหน้าไปอย่างช้าๆ จนทำให้เขาร้อนใจ
“ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปกว่าจะรับตัวเจ้าสาวกลับมาได้มิใช่ต้องเป็นปีหน้าเลยหรือ!” ใต้เท้าเจ้ากรมพร่ำบ่นกับแม่สื่อของราชสำนักข้างกาย
แม่สื่อคนนั้นตอบด้วยสีหน้าชื่นมื่น “เจ้าบ่าวอย่าเพิ่งใจร้อน ประเดี๋ยวออกจากเมืองหลวงแล้วย่อมสามารถเร่งเดินทางด้วยรถม้าได้” กล่าวจบนางก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก “ข้าเป็นแม่สื่อมาหลายปี เพิ่งเห็นคนใจร้อนถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก”
ตอนเอ่ยคำพูดนี้นางคิดไม่ถึงว่ากำลังจะได้พบกับเจ้าสาวที่ใจร้อนยิ่งกว่า
เมื่อขบวนรับตัวเจ้าสาวผ่านบริเวณที่คนมากก็จะบรรเลงดนตรี สร้างบรรยากาศครึกครื้น หลังผ่านเขตชุมชนไปก็ขึ้นรถม้าดังว่า เร่งเดินทางไปตลอดทาง
ผ่านหลายเมืองหลายเขต ในที่สุดก็มาถึงสำนักกระบี่หรูอี้
ใต้เท้าเจ้ากรมเงยหน้า ครั้นเห็นกระบี่วิเศษที่สูงเทียมฟ้าเล่มนั้น แม้กระทั่งหัวใจยังสั่นไหว!
ราวกับเฝ้ารอมานานแสนนาน ในที่สุดก็รอมาจนถึงวันนี้
เวลานี้เองประตูใหญ่ของสำนักกระบี่หรูอี้ปิดแน่นสนิท พี่ชายภรรยาทั้งสองรวมทั้งหวงจวินขวางประตูไว้ ไม่อนุญาตให้เขาเข้าไปข้างใน
เหอชุ่ยกล่าวว่า “ว่าที่น้องเขยรู้หรือไม่ว่าการรับตัวเจ้าสาวมีธรรมเนียมเช่นไร”
ใต้เท้าเจ้ากรมล้วงหยิบของวิเศษหลายชิ้นออกมาจากเข็มขัดเก็บของที่เอวอย่างรู้สถานการณ์ จากนั้นก็เลิกคิ้วถาม
“มีธรรมเนียมเช่นไร”
เหอซีจินกับชวีม่านอิงอมยิ้มพลางมองดู ถึงอย่างไรก็เป็นวันมงคล จึงปล่อยให้พวกเขาเล่นสนุกกัน
เหอชุ่ยกล่าว “สามีที่น้องสาวข้าแต่งงานด้วยจะต้องเป็นผู้รอบรู้กว้างขวางเป็นแน่ ข้าจึงต้องทดสอบท่านดูสักหน่อย!”
ใต้เท้าเจ้ากรมเก็บของวิเศษที่ล้วงออกมากลับไป ขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “เดิมทีข้าเตรียมวัตถุวิเศษเก็บของมามอบให้หลายชิ้น ไม่คิดว่าแค่ต้องใช้ความรู้เท่านั้น เช่นนั้นก็สอบถามมาเถิด!”
จากนั้นก็ได้ยินเพียงเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ประตูสำนักเปิดออก
เหอชุ่ยกับเหอตั้นสองพี่น้องแย่งกันพุ่งเข้าไป “เรื่องความรอบรู้พวกนั้นเดิมทีก็มิได้จำเป็นเพียงนั้น…”
สองพี่น้องแย่งกันช่วงชิงของวิเศษในมือเขา ไม่ลืมยัดให้หวงจวินชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็นำทางเขาไปอย่างกระตือรือร้น