ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 99-100
หวงหร่างคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่นางไม่มีเวลาคิดมากมายนัก
ความเข้าใจที่นางมีต่อคัมภีร์ปีศาจมารวิญญาณน้อยเกินไปจริงๆ
นางรับมืออย่างกินแรง จนกระทั่งเป้าอู่เข้ามาช่วย
สองคนร่วมกันรับมือกับศัตรู แรงกดดันจึงลดลง
เวลานี้ใต้เท้าเจ้ากรมหยิบคันธนูกับลูกธนูสีทองดอกหนึ่งออกมาจากวัตถุวิเศษเก็บของ
เขาพาดลูกธนูแล้วน้าวคันธนู เล็งไปที่เซี่ยหลิงปี้อย่างแม่นยำ ลูกธนูทะลวงกลุ่มหมอกเข้าไป!
จากนั้นก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาเหมือนแจกันเงินแตก ลูกธนูสีทองพุ่งเข้าไปในหมอก รัศมีแผ่กระจาย
โครงกระดูกสีดำดั่งถูกของร้อนลวก แผดเสียงร้องแหลม
จริงดังคาด ตอนนี้วิชามารของเซี่ยหลิงปี้อานุภาพต่ำกว่านอกความฝันมาก
อย่างน้อยนอกความฝันตี้อีชิวก็ไม่มีของวิเศษใดที่สามารถจัดการเขาได้
หวงหร่างรู้สึกฉงนสงสัย ส่วนเซี่ยหลิงปี้ตรงหน้าเมื่อเป็นฝ่ายเสียเปรียบก็ไม่ต่อสู้ยืดเยื้ออีก เขาหันหลังหมายจะหลบหนี แต่เวลานี้เองเหอซีจิน จางซูจิ่ว อู่จื่อโฉ่ว และคนอื่นๆ ล้อมเข้ามาแล้ว
เขาตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมที่แน่นหนาไปชั่วขณะ
เซี่ยหลิงปี้มองไปยังซือเวิ่นอวี๋ที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นก็แผดเสียงคำราม โครงกระดูกสีดำสลายตัวทันใด แปรเป็นลูกไฟเรืองแสงลูกแล้วลูกเล่า!
ลูกไฟเรืองแสงกระจายออกไปทั่วทุกทิศ พุ่งเข้าใส่คนที่มุงดู
ทุกคนจึงได้แต่ตั้งข่ายอาคมเพื่อปกป้องฝูงชน
เซี่ยหลิงปี้ฝ่าวงล้อมออกไปได้ ก่อนจะหลบหนีไป
เวลานี้เองในกลุ่มคนมีคนตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว “หวงหร่าง! เจ้าถึงกับกล้าสวมรอยเป็นตี้ซานเมิ่งเซียนเซิง หลอกลวงราชสำนัก!”
พวกชาวบ้านยังตกใจไม่หาย พอได้ยินเสียงตะโกนนี้ก็ได้สติกลับมา พากันหันไปมองโฉมหน้าที่แท้จริงของตี้ซานเมิ่ง
หวงหร่างยืนอยู่ริมหอสูง สวมอาภรณ์สีดำทั่วร่าง เรือนผมยาวแผ่สยายถึงเอว
แม้แต่พวกเหอซีจินก็ตกตะลึง เนิ่นนานผ่านไปเหมียวอวิ๋นจือจึงเอ่ยด้วยความโมโห “เด็กนิสัยไม่ดี เจ้าช่างขวัญกล้านัก ถึงกับกล้าสวมรอยเป็นผู้ทรงคุณธรรม”
เฮ้อ
หวงหร่างก่นด่าเซี่ยหลิงปี้ในใจไปแล้วไม่รู้กี่รอบ
…หากยังมีความฝันครั้งที่สี่ ข้าจะขุดสุสานบรรพบุรุษของเจ้าขึ้นมาให้ได้เลยคอยดู!
นางมองไปยังเหอซีจิน เนิ่นนานจึงฝืนเค้นรอยยิ้มออกมา “ท่านลุง ความจริงแล้วข้าคือตี้ซานเมิ่ง”
เหอซีจินยังไม่ได้สติกลับมาจากความตื่นตระหนก ท่ามกลางฝูงชนนายท่านผู้เฒ่าซีเดินนำประมุขตระกูลและบรรดาผู้อาวุโสในตระกูลใหญ่ของเผ่าดินทั้งหลายมุ่งหน้ามาทางนี้
“เจ้าบอกว่าเจ้าคือตี้ซานเมิ่งหรือ” นายท่านผู้เฒ่าซีสีหน้าเยียบเย็น ยิ้มพลางเอ่ย “ช่างเป็นเรื่องขบขันครั้งใหญ่ในใต้หล้า!”
ประมุขตระกูลและผู้อาวุโสในตระกูลคนอื่นๆ ต่างหัวเราะเยาะหยันตาม
หวงสืออี้กล่าวว่า “ข้าว่าเป็นเพราะกรมซือเทียนหาตัวตี้ซานเมิ่งไม่พบต่างหาก จึงได้แต่เอาเด็กคนหนึ่งมาสวมรอย ใช้สิ่งนี้ทวงความดีความชอบจากฮ่องเต้กระมัง”
ซาหยวนหันไปกล่าวกับชาวบ้านทั้งหลาย “ทุกคนอย่าให้เด็กคนนี้หลอกลวงเอาได้ ตี้ซานเมิ่งปรากฏตัวตั้งแต่สิบแปดปีก่อน ตอนนี้เด็กคนนี้เพิ่งจะอายุเท่าไรเอง หรือว่าในปีนั้นเด็กหญิงอายุไม่กี่ขวบคนหนึ่งจะสามารถปรับปรุงเมล็ดพันธุ์จำหน่ายเลื่องชื่อให้พวกเจ้าได้แล้ว”
ฝูงชนที่มุงดูมิได้ตอบ เพราะทุกคนไม่แน่ใจจริงๆ
นายท่านผู้เฒ่าซีชี้คมกระบี่มาทางหวงหร่าง เอ่ยว่า “ละครถูกเปิดโปงแล้ว เจ้ายังไม่ขออภัยฝ่าบาทอีก”
หวงหร่างมองดูคนเหล่านี้…พวกเจ้าทำลายความอดทนของข้าไปจนหมดสิ้นแล้วจริงๆ
นางยืนตัวตรง กวาดสายตามองดูฝูงชน เอ่ยเสียงก้องกังวาน “ทุกท่าน ข้าคือตี้ซานเมิ่ง สิบแปดปีก่อนข้าเดินทางมาเมืองหลวง เข้าศึกษาในสำนักปรับปรุงพันธุ์พืชของกรมซือเทียน เนื่องจากเห็นชาวบ้านทุกข์ยากลำเค็ญ ตระกูลนักปรับปรุงพันธุ์พืชใหญ่ๆ ก็ไม่ยอมกระจายเมล็ดพันธุ์จำหน่ายให้ชาวนารายย่อย จึงบังเกิดความคิดชั่วแล่น ปลอมตัวเป็นตี้ซานเมิ่ง ปรับปรุงเมล็ดพันธุุ์จำหน่าย”
น้ำเสียงนางราบเรียบเนิบช้า ข้างล่างมีคนถามว่า “เจ้ามีหลักฐานอะไร”
เขาถามในสิ่งที่ทุกคนสนใจมากที่สุด ชั่วขณะนั้นสายตานับหมื่นพุ่งตรงมายังหวงหร่าง
หวงหร่างเดินไปตรงหน้าตี้อีชิว ยื่นมือไปหยิบแท่งถ่านจากเอวเขา นางก้าวยาวๆ ไปบนหอสูง ตวัดมือไปบนผืนผ้าม่านสีขาว
จงจื่อกุยก้าวเร็วๆ เข้าไป มองดูอยู่นานก่อนเอ่ยว่า “นี่…นี่เป็นฉลากผนึกของตี้ซานเมิ่งเซียนเซิงจริงๆ!”
ฉลากผนึกมักใช้เป็นสัญลักษณ์ของนักปรับปรุงพันธุ์พืช
พวกชาวบ้านยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พวกที่อยู่ใกล้เดินเข้าไปดูอย่างละเอียด เนิ่นนานจึงมีคนพูดขึ้น “ข้าเคยใช้เมล็ดพันธุ์จำหน่ายของตี้ซานเมิ่งเซียนเซิง นี่เป็นฉลากผนึกของท่านผู้เฒ่าจริงๆ!”
เสียงตะโกนเช่นนี้ดังขึ้นทุกขณะ ทุกคนมองดูคนงามบนหอสูงอีกครั้ง แววตาพลันซับซ้อน
หวงหร่างหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากวัตถุวิเศษเก็บของ คลี่ออกพลางพูดว่า “นี่คือโฉนดเรือนเก่าในเมืองหลวง สัญญาลงนามไว้เมื่อสิบแปดปีก่อน”
ฝูงชนเห็นโฉนดเรือนนี้แล้วก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นอีกระลอกหนึ่ง
หวงหร่างกวาดสายตามองดูฝูงชนพลางกล่าวว่า “ทุกท่าน ตี้ซานเมิ่งคือข้า ทั้งยังมิใช่ข้า เขามาจากคำสอนของผู้อาวุโส มาจากคุณธรรมในสำนักเซียน มาจากความลำเค็ญของราษฎร มาจากแผ่นดินของฮ่องเต้ หลายปีที่ผ่านมาตระกูลใหญ่ของเผ่าดินภาคภูมิใจกับการที่เมล็ดพันธุ์จำหน่ายของตนไม่ตกไปอยู่ในมือชาวนารายย่อย ทว่าวันนี้ข้าจะเข้าสู่กรมซือเทียน ทำลายธรรมเนียมเก่าเสีย”
ทุกคนตกตะลึง แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร
เพียงชั่วพริบตาเสียงโห่ร้องยินดีก็ดังก้องดุจภูผาคำรามมหาสมุทรแผดเสียง
หวงหร่างมองดูฝูงชนที่ตื่นเต้นยินดี หัวใจกลับเต้นรัวเร็ว…
มีความสุขกับการยกย่องของราษฎรให้เต็มที่เถิด กลับไปเกรงว่ามิพ้นต้องถูกตีอย่างหนักยกหนึ่งเป็นแน่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 ก.ย. 68
Comments
