กองวิหคเพลิง
ผู้ช่วยจูเซียงกำลังเตรียมตัวกลับ แต่เห็นตี้อีชิวเดินเข้ามา นางจึงรีบเข้าไปต้อนรับ ค้อมกายคารวะพลางเอ่ยเรียก
“เจ้ากรม”
ตี้อีชิวตอบรับและเดินตรงเข้าไปในเรือน จูเซียงลังเลยิ่ง…ผู้บังคับบัญชามาแล้ว ข้าควรกลับหรือไม่
นางขบคิดเล็กน้อย ยังคงสาวเท้าตามเขาไป
โชคดีที่ผ่านไปครู่หนึ่งขุนนางคนอื่นๆ ก็มาถึง…หลี่ลู่และถานฉีลำเลียงไม้จื่อถานสายพันธุ์ดัดแปลงต้นนั้นมา เวลานี้ตี้อีชิวกำลังวาดแบบร่าง
หลี่ลู่ ถานฉี และจูเซียงสามคนต่างมองหน้ากัน ไม่เข้าใจและไม่กล้าซักถาม
…ของอะไรกันที่สำคัญเพียงนี้ เหตุใดจำต้องเร่งทำขึ้นในเวลานี้ด้วย
กรมซือเทียนกับสำนักเซียนอวี้หูจะเปิดศึกกันแล้วหรือ
เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อตี้อีชิววาดแบบร่างจนเสร็จสิ้น เขาเงยหน้ามองทั้งสามคนคราหนึ่ง เอ่ยเรียบๆ ว่า “พวกเจ้าไม่มีเรื่องใดแล้วก็กลับกันก่อนเถิด”
แต่ทั้งสามจะจากไปเช่นนี้ได้อย่างไร พวกเขามิใช่ชาวยุทธ์ไร้สมองอย่างเป้าอู่สักหน่อย
หลี่ลู่เอ่ยว่า “สามารถทำให้เจ้ากรมเร่งลงมือทำด้วยตนเองได้ ของสิ่งนี้จะต้องสำคัญมากแน่นอน พวกผู้น้อยยินดีอยู่ช่วยขอรับ”
ตี้อีชิวอึ้งงันไปเล็กน้อย อันที่จริงของสิ่งนี้ก็มิได้สำคัญเพียงนั้น แต่เขายังคงตอบว่า “เช่นนั้นก็เข้ามาเถิด”
สามคนล้อมวงเข้าไป พบว่าบนกระดาษร่างแผ่นนั้น…ดูเหมือนจะเป็นเก้าอี้ล้อเข็นตัวหนึ่ง
หลังจากนั้นเจ้ากรม รองเจ้ากรม รวมทั้งผู้ช่วยอีกสองคนก็ยุ่งจนดึกดื่น ทำเก้าอี้ล้อเข็นประณีตตัวหนึ่งออกมา
เก้าอี้ล้อเข็นตัวนี้แกะสลักลวดลายและฝังหยก วิจิตรหรูหรายิ่งนัก แต่ดูมีความเป็นสตรีมากไปสักนิด เอาเป็นว่าดูไม่ค่อยเหมือนของใช้สำหรับบุรุษฉกรรจ์สักเท่าไร จูเซียงเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม รู้สึกว่าวันนี้ผู้บังคับบัญชาของตนแปลกไปจากปกติ
ถานฉีจ้องเก้าอี้ล้อเข็นตัวนั้น งุนงงไม่เข้าใจเช่นกัน มีเพียงหลี่ลู่ที่เลิกคิ้วทั้งสองข้าง ได้แต่พูดอยู่ในใจ
พอถึงยามโฉ่ว* ตี้อีชิวก็เข็นเก้าอี้ล้อเข็นจากไปอย่างพึงพอใจ
จูเซียงกับถานฉีเดินเข้าไปยังข้างกายหลี่ลู่พร้อมกัน ถานฉีอดรนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ “รองเจ้ากรม เจ้ากรมทำเช่นนี้เป็นเรื่องอะไร”
หลี่ลู่ยอมพูดก็แปลกแล้ว เขาเพียงลูบศีรษะถานฉีด้วยความเมตตา…เด็กดี จงทำความเข้าใจเองเถิด
จูเซียงพึมพำว่า “วันนี้เจ้ากรมยังเร่งตัดชุดกระโปรงของสตรีชุดหนึ่งด้วย” ยามที่สายตาหลี่ลู่และถานฉีมองมา นางทำหน้าซื่อพลางชี้มือชี้ไม้ไปที่หน้าอกตนเอง “จากหัวจรดเท้า จากในสู่นอก…มีแม้กระทั่งถุงเท้า”
“ชุดกระโปรงของสตรีหรือ” ถานฉีเบิกตาถลน “ขะ…ของใครกัน”
จูเซียงตอบอย่างจนปัญญา “ไม่รู้ แต่ดูจากรูปร่าง…” นางชี้ที่หน้าอกตนเองอีกครั้ง จากนั้นวาดวงออกไปวงใหญ่ “เรียกว่าร้อนแรงทีเดียว!”
หลี่ลู่รู้สึกว่าตนควรจากไปได้แล้ว การขุดคุ้ยความลับของผู้บังคับบัญชาออกจะอันตรายเกินไป
ทว่าเขากลับไม่ได้ไป เขายังอยากฟังต่อ!
จริงดังคาด ถานฉีถามขึ้นมา “เจ้ารู้ด้วยหรือว่าอย่างไรคือร้อนแรง”
จูเซียงหัวเสีย ตอบเสียงขุ่นเคือง “คนโง่งม ถึงข้าจะไม่มี แต่ขนาดพวกนั้นเจ้ากรมเขียนกำกับไว้อย่างชัดเจน ข้าจะไม่รู้จักดูหรือไร!”
สามคนจับกลุ่มพูดคุยกัน จากนั้นคนกลุ่มนี้ก็ย่องเข้าไปค้นหาแบบร่างที่เจ้ากรมวาดขึ้นเองในวันนี้ กระทั่งคนที่สุขุมรอบคอบอย่างหลี่ลู่ยังอดชำเลืองมองหลายทีมิได้
จำต้องบอกว่าหากขนาดพวกนั้นเป็นของจริง ทรวดทรงของสตรีนางนี้ก็ช่าง…
จุๆ
หลี่ลู่เริ่มขุดคุ้ยความลับของผู้บังคับบัญชา ทันใดนั้นแสงสว่างก็วาบผ่าน คนผู้หนึ่งผุดขึ้นมาในห้วงสมอง…ฮูหยินประมุขสำนักเซียนอวี้หู หวงหร่าง!
หากกล่าวถึงความเกี่ยวพันของสตรีผู้นั้นกับกรมซือเทียน เช่นนั้นก็เล่าได้ยาวทีเดียว
หลี่ลู่กล้ารับรองว่าทุกคนในกรมซือเทียนต้องเคยได้ยินชื่อนางมาก่อน
…สตรีที่ทอดทิ้งเจ้ากรมของพวกตนแล้วหันไปแต่งงานกับเซี่ยหงเฉินผู้นั้น! แม้ทุกคนจะไม่มีวาสนาได้พบเจอ แต่นางเป็นคนที่ทำให้กรมซือเทียนเงยหน้าไม่ขึ้นตลอดร้อยกว่าปีที่ผ่านมา สตรีที่เห็นเมื่อยามกลางวันไม่พูดจาไม่ขยับเขยื้อน ดูไปช่างงามล้ำเลิศ แทบจะไม่เหมือนคนจริงๆ
หรือว่าเจ้ากรมก้าวข้ามปมในใจนี้ไปมิได้ คะนึงหาจนบ้าคลั่ง ดังนั้นจึงทำหุ่นคนขึ้นมา…โดยเลียนแบบเซี่ยฮูหยิน! เขายิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล หากเป็นคนจริงๆ ไฉนเลยจะมีทรวดทรงเช่นนั้นได้ จะต้องร้อนแรงปานใด
สตรีที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้มีอยู่แต่ในความคิดของบุรุษเท่านั้น
นี่ข้าค้นพบความลับสุดยอดอะไรเข้าให้แล้ว! ข้าจะไม่ถูกสังหารปิดปากกระมัง
รองเจ้ากรมหลี่ลู่คิด วิกฤตเสียแล้ว!!
ติดตามตอนต่อไปวันเสาร์ที่ 5 ก.ค. 68