ไม่แปลก สำนักเซียนอวี้หูได้ชื่อว่าเป็นสำนักเซียนอันดับหนึ่ง ไม่พูดถึงผู้อาวุโสที่เร้นกายเหล่านั้น แค่ปรมาจารย์เซี่ยหลิงปี้กับประมุขสำนักเซี่ยหงเฉินก็ล้วนเป็นคนที่รับมือได้ยากยิ่ง สี่คนนี้แย่งคนออกมาจากปากเสือ แค่คิดดูก็รู้ว่าอันตรายและยากเย็นเพียงใด
เซี่ยหงเฉิน…เมื่อคิดถึงชื่อนี้แล้ว กระทั่งห้วงความคิดของหวงหร่างยังจมสู่ความเงียบงัน
ไอเย็นบนภูเขาจู่โจมเข้ามา ตี้อีชิวอุ้มหวงหร่างลงจากภูเขา
หวงหร่างมองเห็นเพียงเสื้อผ้าตรงอกเขา ข้างหูได้ยินเสียงหัวใจเต้นของเขา อาจเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บ หัวใจของเขาจึงเต้นเร็ว แต่ละจังหวะหนักแน่นดุจรัวกลอง
เขาเดินลงไปตามเส้นทางภูเขา ไม่นานนักก็ถึงถนนใหญ่บนพื้นราบ ตี้อีชิวใช้มือขวาทำมุทรา ไม่รู้ว่าอย่างไร แต่บนพื้นพลันปรากฏรถม้าคันหนึ่ง บนรถม้ายังมีคนขับรถม้าด้วยหนึ่งคน
หวงหร่างรู้สึกว่าตี้อีชิวเหมือนจะเตรียมพร้อมรับตัวนางไว้อยู่แล้ว หาไม่แล้วด้วยพลังวัตรของเขาคงไม่จำเป็นต้องใช้รถม้าเช่นนี้ในการเดินทาง ทว่าน่าเสียดายที่นางไม่อาจถามได้
ตี้อีชิวอุ้มนางขึ้นรถม้า วางลงบนเบาะผ้าดิ้นให้นางนั่งดีๆ และปล่อยม่านลง จากนั้นรถม้าก็เริ่มแล่นไปข้างหน้า
ภายในรถม้ามืดสลัวเงียบสงบ หวงหร่างรู้สึกประหม่า อย่างไรเสียนางกับคนผู้นี้ก็ไม่มีเรื่องใดให้พูดคุยกันได้จริงๆ โชคดีที่ตอนนี้นางเสมือนหุ่นไม้ตัวหนึ่ง จึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไร
ตี้อีชิวเลิกม่านข้างหน้าต่างขึ้นมา รินสุราถ้วยหนึ่ง เขาจิบสุราในถ้วยพลางมองออกไปนอกหน้าต่างตลอดทาง จะชายตาแลหวงหร่างสักนิดก็หามีไม่
หวงหร่างนั่งอยู่ตรงข้ามเขา จึงได้แต่มองดูเขาเท่านั้น เวลาร้อยกว่าปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว นางถึงขั้นลืมรูปโฉมของตี้อีชิวในวันวานไปแล้ว บัดนี้ได้พบอีกครั้งจึงรู้สึกดั่งคนแปลกหน้า
…บุรุษผู้นี้คงมิใช่คิดจะแก้แค้นข้ากระมัง นางรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
หนทางยาวไกล รถม้าแล่นไปตลอดทางไม่หยุด
หวงหร่างรู้สึกว่าในรถม้าค่อยๆ มืดลง จึงตระหนักว่าล่วงเข้ายามราตรีแล้ว กระนั้นคนบังคับรถม้าก็ไม่พูดจา ม้าสองตัวก็วิ่งไปเงียบๆ ข้างหูนางจึงได้ยินเพียงเสียงกีบเท้าม้าดังกุบกับ เสียงล้อรถม้าหมุนกึงกัง ดูเหมือนทุกคนไม่มีใครคิดจะหยุดพัก
ในกาสุราของตี้อีชิวเหมือนจะมีสุราที่ดื่มไม่มีวันหมด ภายในรถม้าอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสุรา
หวงหร่างรู้ว่านี่คือของวิเศษชิ้นหนึ่ง อาคมเมรัยไม่สิ้นสุดเช่นนี้หาใช่ของแปลกใหม่ในสำนักเซียนไม่
ทว่านางก็จำได้คลับคล้ายคลับคลาเช่นกันว่าเมื่อร้อยกว่าปีก่อนตี้อีชิวไม่ดื่มสุรา
ถูกกักขังลงทัณฑ์เป็นเวลาสิบปี ความทรงจำของนางถูกทำลายจนเหลือไม่มากแล้ว กับคนผู้นี้ยิ่งเลือนรางจนเหลือแค่เงาเท่านั้น ดังเช่นนางจำได้ว่าตนเองปฏิเสธการสู่ขอของตี้อีชิวอย่างเฉียบขาด ทว่า ‘เฉียบขาด’ อย่างไรนางกลับลืมไปเสียแล้ว
อันที่จริงนางไม่อยากให้ตี้อีชิวดื่มเช่นนี้ไปเรื่อยๆ อย่างไรเสียสุราก็ทำให้คนขาดสติและทำตัววุ่นวายได้ง่าย
ทว่าพอคิดเช่นนี้นางก็ปล่อยวางลงได้…บัดนี้ชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพังในรถม้า หากเขาคิดจะล่วงเกินข้า เกี่ยวข้องอันใดกับสุราเล่า
ช่างเถิด…ช่างเถิด
รอจนภายในรถม้ามืดสนิท ตี้อีชิวก็จุดเทียนไขเล่มหนึ่ง
ลมหนาวพัดเข้ามา เปลวไฟจากเทียนไขเล่มนั้นกลับไม่วูบไหวสักนิด ดูเหมือนว่ากรมซือเทียนอะไรนี่จะมีของวิเศษมากมายทีเดียว
หวงหร่างรู้สึกหนาวเล็กน้อย นางถูกลงทัณฑ์ด้วยเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูก แม้มิอาจพูดจาหรือเคลื่อนไหวได้ แต่กลับสามารถรับรู้ความหนาวและความเจ็บปวดได้
เวลานี้เองตี้อีชิวพลันนั่งตัวตรงและกุมมือนางไว้ หวงหร่างตกใจ…เอาแล้ว ในที่สุดก็มาถึงวันนี้จนได้ ทว่าบัดนี้ตนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ยังจะต้องรักษาความบริสุทธิ์ไว้เพื่อเซี่ยหงเฉินอีกหรือ
ไม่เป็นไร
นางปลอบประโลมตนเองให้สงบลง ส่วนตี้อีชิวที่กุมมือนางไว้หันไปหยิบชุดคลุมกันลมตัวหนึ่งออกมาจากในหีบแล้วห่อร่างนางไว้อย่างแน่นหนา
เอ่อ…แค่ก
หวงหร่างถูกห่อร่างด้วยชุดคลุมกันลมตัวหนา ในที่สุดไอหนาวก็สลายหายไปอย่างช้าๆ ตี้อีชิวทำมุทราเบาๆ รถม้าแล่นเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เสียงลมข้างหูดังหวีดหวิว ดั่งขี่เมฆควบหมอกปานนั้น ตี้อีชิวปล่อยม่านลง จวบจนล่วงเข้ายามดึกของครึ่งคืนหลัง ในที่สุดก็มาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง
ม้าสองตัวพ่นลมออกทางจมูกพร้อมกัน นี่เป็นครั้งแรกที่หวงหร่างได้ยินพวกมันส่งเสียงอื่นที่มิใช่เสียงกีบเท้าม้า
ตี้อีชิวลงจากรถม้าก่อน จากนั้นค่อยอุ้มหวงหร่างลงมา
ขณะที่สายตาเลื่อนขึ้นลง หวงหร่างก็มองเห็นป้ายชื่อจวนหลังนี้…กองเสวียนอู่ดีร้ายนางก็เป็นฮูหยินประมุขสำนักมาร้อยกว่าปี จึงพอจะรู้จักกองเสวียนอู่แห่งนี้อยู่บ้าง เมื่อร้อยกว่าปีก่อนสำนักเซียนอำนาจมากล้น ผู้เลื่อมใสศรัทธาค่อยๆ ขยายวงกว้าง ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยไม่ยอมรับการปกครองของราชสำนัก แต่กลับยินดีจ่ายภาษีให้สำนักเซียน
ด้วยความกริ้ว ซือเวิ่นอวี๋ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันคิดจะดึงสำนักเซียนเข้ามาอยู่ภายใต้อาณัติ ทว่าสำนักเซียนอำนาจแข็งแกร่ง ในขณะที่ราชสำนักอ่อนแอ สำนักเซียนเหล่านี้จึงไม่เห็นราชสำนักอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง
ด้วยความจนใจ ซือเวิ่นอวี๋จึงได้แต่ก่อตั้งกรมซือเทียนขึ้นมาเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับสำนักเซียนทั้งหลาย ด้วยกำลังของราชสำนัก เดิมทีกรมซือเทียนควรเป็นเพียงเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง ผู้ที่มุ่งหมายจะฝึกบำเพ็ญเป็นเซียนแสวงหามรรคาจริงๆ ไฉนเลยจะยอมขายตนเองให้ราชวงศ์ ยอมรับใช้ราชสำนัก