บทที่ 4 แป้งชาด
ตอนตี้อีชิวกลับถึงกองเสวียนอู่ก็เป็นยามอิ๋นแล้ว ถึงอย่างไรท้องฟ้าก็กำลังจะสว่าง เขาจึงมิได้นอนอีก ตัดสินใจไปอ่านเอกสารที่ห้องหนังสือ
จวบจนยามเหม่าสามเค่อ เขาจึงเข้ามา ‘ปรนนิบัติ’ หวงหร่างลุกจากเตียง หวงหร่างสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยก็พบว่าตนเองมีเก้าอี้ล้อเข็นแล้ว
ตี้อีชิววางนางลงบนเก้าอี้ล้อเข็น เก้าอี้ตัวนั้นเหมาะกับนางเป็นพิเศษ คล้ายทำขึ้นเพื่อนางโดยเฉพาะอย่างไรอย่างนั้น หวงหร่างนั่งอยู่บนเก้าอี้ เนื่องจากเส้นผมไม่ยุ่งเหยิง ตี้อีชิวจึงมิได้สางผมและเกล้ามวยให้ใหม่…ดูเหมือนว่าเขาก็มีเรื่องที่ไม่ถนัดเช่นกัน
เขาเข็นหวงหร่างออกไป ท้องฟ้าข้างนอกหม่นครึ้ม หิมะทำท่าจะตกแต่ก็ไม่ตก ในลานเรือนมีศิษย์หอบตำราคัมภีร์เดินผ่านไป ยังคงค้อมกายคารวะตี้อีชิวตามปกติ
บางครั้งบางคราวพวกเขาจะเดินผ่านศาลาหอเก๋ง บนนั้นจะแขวนคำสอนส่งเสริมการศึกษาไว้
บรรยากาศแห่งการศึกษาหาความรู้ในกองเสวียนอู่เข้มข้นยิ่งนัก ตี้อีชิวเข็นเก้าอี้ล้อเข็นไปเรื่อยๆ จนถึงโถงเรียนแห่งหนึ่ง
ยามนี้ยังไม่ถึงเวลาเข้าเรียน เซียนเซิงกำลังปรับหน้าดิน เห็นเขาเข้ามา เซียนเซิงก็รีบเข้าไปต้อนรับ “เจ้ากรม”
ตี้อีชิวโบกมือ หาพื้นที่มุมหนึ่งและเข็นหวงหร่างไปด้านข้าง หวงหร่างจึงได้เข้าใจ…นี่เขาพาข้ามาเข้าเรียนหรือ
จริงดังคาด ตี้อีชิวทิ้งนางไว้และหยิบแท่งถ่านขึ้นมาวาดวงกลมรอบตัวนาง ก่อนจะหันหลังจากไป ในโถงเรียนเซียนเซิงมองดูนาง นางมองดูเซียนเซิง ตาใหญ่จ้องตาเล็ก
เมื่อล่วงเข้ายามสาย ศิษย์ต่างทยอยเข้ามาในโถงเรียน
เซียนเซิงจนปัญญา ได้แต่เริ่มสอน
หวงหร่างนั่งอยู่ด้านข้าง จากมุมนี้สามารถมองเห็นได้ชัดเจนยิ่ง โถงเรียนทั้งหมดอยู่ในสายตานาง วิชานี้ของเซียนเซิงกล่าวถึงการปรับปรุงเมล็ดพันธุ์จำหน่าย เป็นความถนัดของหวงหร่างพอดี นางจึงฟังอย่างตั้งใจ
เพียงแต่อาจารย์ผู้นี้เขียนเหตุผลบนกระดาษมาก แต่การลงมือปฏิบัติจริงกลับมีน้อย หวงหร่างฟังไปพลางพูดเสริมในใจไปพลาง ศิษย์ทั้งหลายลอบชำเลืองมองนางเป็นระยะ แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ละคนกระตือรือร้นขึ้นเป็นร้อยเท่า ลืมแม้กระทั่งการงีบหลับ
ตี้อีชิวเดินออกจากกองเสวียนอู่ ข้างนอกเป็นถนนยาวสายหนึ่ง แผงลอยสองฝั่งของถนนขายพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึก หรือไม่ก็ขายตำรานานาชนิดเป็นหลัก มีร้านรวงอยู่ประปราย ข้าวของล้วนเป็นสิ่งที่ศิษย์ต้องใช้สอยเป็นประจำ
เขามิได้หยุดฝีเท้าบริเวณนี้ เพียงเดินไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าตลาด
หน้าตลาดมีผู้คนสัญจรไปมา คึกคักจอแจอย่างยิ่ง
ตี้อีชิวเดินเข้าไปในร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง ร้านน้ำชาแห่งนี้ดูเก่าแก่ แต่ภายในกลับสะอาดสะอ้าน พอก้าวเข้าไปหลงจู๊ก็ออกมาต้อนรับทันที
“เจ้ากรม ยังคงเหมือนเดิมหรือไม่ขอรับ”
ตี้อีชิวส่งเสียงตอบรับ หาที่นั่งริมหน้าต่างแล้วนั่งลง
เพียงครู่เดียวหลงจู๊มิเพียงยกขนมหลายอย่างออกมา ยังยกชาสีใสถ้วยหนึ่งออกมาด้วย
ตี้อีชิวรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นหอมของชาชนิดนี้ หลงจู๊ยิ้มพลางพูดขึ้น “นี่เป็นชาใหม่ของปีนี้ มีชื่อว่าหนึ่งเสี้ยวใจ เป็นชาสายพันธุ์ดัดแปลงที่แม่นางหวงหร่างปรับปรุงขึ้นเองกับมือเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ประเดี๋ยวคืนนี้ข้าน้อยจะส่งไปที่กองเสวียนอู่จำนวนหนึ่ง ให้เจ้ากรมลองชิมดู”
ตี้อีชิวเหลือบมองชาคราหนึ่ง ตอบว่า “ขอบคุณ”
หลงจู๊ผู้นั้นยิ้มแก้มปริทันใด จากนั้นก็ค้อมกายถอยออกไป เพียงไม่นานหลี่ลู่ก็เดินเข้ามา เขาตรงมายังเบื้องหน้าตี้อีชิวแล้วค้อมกายคารวะ
“เจ้ากรม”
ตี้อีชิวพยักพเยิดคาง “นั่งเถิด”
หลี่ลู่นั่งลงตรงข้ามเขา ข้างนอกเป็นเสียงเอะอะอึกทึก เห็นเพียงเจ้าหน้าที่หลายคนลากตัวคนผู้หนึ่งมา เจ้าหน้าที่สวมชุดสีดำ เอวห้อยดาบ หลังสะพายธงบัญชา เป็นชุดของกรมซือเทียน