หลี่ลู่รีบตามเข้าไป ตี้อีชิวพิจารณาสินค้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา เถ้าแก่เนี้ยในร้านเห็นคนทั้งสองในชุดขุนนางเดินเข้ามา ดวงหน้างามพลันซีดเผือด เอ่ยถามด้วยลิ้นที่พันกัน
“ตะ…ใต้เท้าทั้งสองท่าน ร้านนี้ของข้าน้อยเปิดกิจการในเมืองหลวงมาสิบปีแล้ว ล้วนทำมาหากินอย่างสุจริต ท่านทั้งสองอย่าได้ปรักปรำคนดีเลยนะเจ้าคะ”
หลี่ลู่สำรวจทั้งในและนอกร้านรอบหนึ่ง แต่ไม่พบความผิดปกติ เขาจึงได้แต่เอ่ยถาม “เจ้ากรม สถานที่แห่งนี้มีสิ่งใดแปลกประหลาดหรือขอรับ”
ตี้อีชิวก้าวช้าๆ ไปหน้าชั้นวางสินค้า พินิจพิจารณาแป้งชาดน้ำมันหอมบนนั้นอย่างถี่ถ้วนรอบหนึ่ง เขาหยิบแป้งผัดหน้าตลับหนึ่งขึ้นมา เปิดออกดมและถามขึ้น
“ราคาเท่าไร”
“หา?” เถ้าแก่เนี้ยตกตะลึง
หลี่ลู่ก็ตกตะลึง ผ่านไปครู่หนึ่งยังคงเป็นเถ้าแก่เนี้ยที่ได้สติก่อน นางพรูลมหายใจยาว รีบปั้นยิ้มเต็มใบหน้า
“ท่านจะมาซื้อแป้งชาดน้ำมันหอมแทนฮูหยินกระมัง! สามีที่ทั้งหล่อเหลาทั้งเอาอกเอาใจภรรยาอย่างนายท่าน จุดโคมส่องหาก็ไม่พบแล้วจริงๆ!”
คงเป็นเพราะวิกฤตคลี่คลาย นางที่รอดตัวจากเคราะห์ภัยมาได้จึงเต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อขุนนางผู้หล่อเหลาตรงหน้า เถ้าแก่เนี้ยพูดอย่างกระตือรือร้นอีก
“นายท่านเชิญนั่งตรงนี้ก่อน แป้งชาดน้ำมันหอมของสตรีพูดแล้วยาวทีเดียว ข้าน้อยจะยกชามาให้ท่านทั้งสองแล้วพวกเราค่อยๆ คุยกัน”
กรมซือเทียนงานยุ่งมากรู้หรือไม่ มีเวลามาฟังเจ้าค่อยๆ คุยที่ใดกัน! หลี่ลู่กำลังจะเอ่ยปาก แต่ตี้อีชิวกลับเดินไปข้างโต๊ะคิดเงินและนั่งลงเสียแล้ว
หลี่ลู่จะทำอย่างไรได้ เขาได้แต่นั่งลงข้างๆ ตี้อีชิว ฟังเถ้าแก่เนี้ยแนะนำแป้งชาดน้ำมันหอมเหล่านี้อย่างยืดยาวไม่จบไม่สิ้น
แป้งแต้มหิมะ ผงปัดแก้มบุปผาฉายฉาน หมึกเขียนคิ้วงามตระการเหล่านั้น…
ให้ตายเถิด หลี่ลู่ฟังจนเวียนศีรษะ
ใบหน้าตี้อีชิวไม่มีรอยยิ้มสักนิด ในแววตานิ่งสงบถึงขั้นแฝงความเย็นชาอยู่หลายส่วน แต่เขากลับฟังอย่างตั้งใจ ดังนั้นเถ้าแก่เนี้ยจึงแทบจะขุดวิชาความรู้ทั้งหมดที่มีออกมา ทำท่าว่าจะถ่ายทอดให้เขาโดยไม่ปิดบัง
ครึ่งชั่วยามต่อมาใต้เท้าเจ้ากรมก็ซื้อไต้ เขียนคิ้วดารา ผงเขียนหน้าผากเหลือง ชาดแต้มริมฝีปากสีดอกท้อ โบตั๋นน้ำแข็ง…
หลี่ลู่หิ้วขวดและกระปุกที่ประณีตเหล่านี้เดินออกจากร้านขายแป้งชาด ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลวไหลพลางคิดว่านี่ข้าเป็นใคร ข้าอยู่ที่ใด
เวลาเดียวกันสำนักเซียนอวี้หูที่อยู่ไกลออกไปหลายพันหลี่กล้วยไม้ทั่วทั้งภูเขาโรยราไปกว่าครึ่ง
เซี่ยหงเฉินสวมอาภรณ์สีขาวดุจหิมะ ไหล่ผูกสนับไหล่สีฟ้า เอวคาดสายคาดสีเดียวกัน ด้านล่างห้อยหยก ในฐานะประมุขสำนัก เขาดูมิได้น่าเกรงขามถึงเพียงนั้น แต่กลับดูสุภาพนุ่มนวล
เขายืนอยู่ข้างแปลงบุปผา มองบุปผาใบหญ้าเหล่านี้ที่ไม่ว่าจะดูแลรักษาอย่างไรก็ยังคงเหี่ยวแห้งไปอย่างช้าๆ คิดไม่ถึงว่าที่แท้บุปผาเหล่านี้จะอ่อนแอเช่นนี้ ทว่ายามที่คนผู้นั้นยังอยู่ พวกมันกลับทนทานประหนึ่งหญ้าป่า
ข้างหลังมีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา เซี่ยหงเฉินไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นผู้ใด เขาหันกายไปคารวะ “ท่านอาจารย์”
ผู้มาคือเซี่ยหลิงปี้ เขาสวมชุดคลุมสีดำ มือถือคทาหยกหรูอี้สีขาว ใบหน้าดำทะมึนดั่งท้องฟ้าที่ฝนกำลังจะเทลงมา
เห็นเซี่ยหงเฉินแล้วเขาก็เอ่ยเสียงขรึม “เรื่องในวันนี้คิดว่าเจ้าคงรู้แล้ว”
“ท่านอาจารย์หมายถึงเรื่องที่กรมซือเทียนลงทัณฑ์ศิษย์ชั้นนอกของสำนักเราอย่างเปิดเผยที่หน้าตลาดหรือขอรับ” เซี่ยหงเฉินเอ่ยเสียงเรียบ มิได้เจืออารมณ์มากนัก
เซี่ยหลิงปี้แค่นเสียงหนัก “มิใช่แค่ลงทัณฑ์อย่างเปิดเผย แต่เป็นการให้ศิษย์สำนักเราเปลือยกายรับโทษทัณฑ์! ตี้อีชิวผู้นี้แม้แต่อุบายชั้นต่ำพรรค์นี้ก็ยังกล้าเอามาใช้!”
เซี่ยหงเฉินมองดูเซี่ยหลิงปี้ที่กำลังโกรธจัดก็ถามขึ้น “หลายวันก่อนเจ้าสำนักผู้เฒ่าของสำนักหมีฮวาจัดงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิด เชิญข้ากับท่านอาจารย์ไปร่วมอวยพรด้วยกัน หลังจากข้ากับท่านอาจารย์จากไป สำนักเราก็มีโจรสี่คนบุกเข้ามาทันที ความจริงแล้วข้าอยากถามท่านอาจารย์ว่าพวกเขาขโมยสิ่งใดไป”
เซี่ยหลิงปี้ชะงักเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงขุ่นทันที “เรื่องนี้เจ้าควรไปถามพวกเขา!”
“ข้าตรวจนับของล้ำค่าในสำนักแล้ว ไม่พบว่ามีสิ่งใดหายไป” เซี่ยหงเฉินเกิดข้อสงสัยในใจ มิเพียงเพราะท่าทีโกรธเกรี้ยวของเซี่ยหลิงปี้ แต่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง