กองพยัคฆ์ขาว
หลี่ลู่เพิ่งเข้ามาก็ได้ยินคนพร่ำบ่นว่า “ประหลาดโดยแท้ เจ้ากรมของพวกเราน่าจะกลับมานานแล้ว”
หลี่ลู่ที่กำลังถือข้าวของพะรุงพะรังได้แต่ทอดถอนใจ…หากมิได้อยู่ที่ร้านแป้งชาดครึ่งค่อนวันก็คงกลับมาถึงนานแล้ว
ตี้อีชิวเข็นหวงหร่างเข้ามา หวงหร่างมองคราเดียวก็เห็นบุรุษฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง เขาสวมเสื้อขนแกะ เอวห้อยดาบเล่มใหญ่ ยามนี้เขาถือชามใบใหญ่ไว้ในมือ กำลังพุ้ยข้าวใส่ปาก
แน่นอนว่าคนผู้นี้คือรองเจ้ากรมซือเทียน เป้าอู่
“เจ้ากรม!” พอเห็นตี้อีชิวเขาก็ยืนขึ้นทันใด สำลักข้าวจนตาเหลือก
ตี้อีชิวคล้ายพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยครั้งจนไม่รู้สึกแปลกใจ โบกมือพลางเอ่ยว่า “กินก่อนเถิด”
“อ้อ” เป้าอู่จึงนั่งอยู่หน้าห้องโถงรับแขก พุ้ยข้าวใส่ปากต่อ
ตี้อีชิวเข็นหวงหร่างเข้าไปในห้องประชุมและขยับอ่างไฟมาที่ข้างเท้านาง ตำแหน่งนี้ของหวงหร่างมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนทีเดียว เรียกได้ว่าสามารถมองเห็นได้ทั้งห้อง
ตรงมุมห้องมีกระถางบุปผาใบหนึ่ง ในฤดูกาลเช่นนี้บุปผากลับยังคงบานสะพรั่ง เถาเลื้อยพันกับค้างข้างๆ กระถาง ใบเป็นสีเขียว ดอกสีชมพู รูปลักษณ์คล้ายแตร มองดูแล้วก็คล้ายดอกผักบุ้งที่ผ่านการดัดแปลงสายพันธุ์อยู่มาก ข้างบุปผาเป็นหน้าต่าง แต่มันมิได้ชอบแสงแดด
หวงหร่างกำลังพิจารณาบุปผานั้น ตี้อีชิวก็ย่อกายลง จัดชายกระโปรงของนางให้เรียบร้อย จากนั้นก็กุมมือนางพลางพูดขึ้น
“ข้าจะออกไปสักครู่ ประเดี๋ยวก็กลับมา”
“หา?” เป้าอู่ที่กินอาหารอยู่ข้างนอกขานรับ พอหันมองเข้ามาในห้องก็พบว่าเจ้ากรมของตนกำลังพูดกับตุ๊กตาปลอมตัวนั้น เขาเหลือบมองหลี่ลู่ด้วยสีหน้าชอบกล หลี่ลู่ขยิบตาให้เขาเป็นการบอกเขาว่าอย่าพูดมาก!
เป้าอู่เข้าใจทันที ถามว่า “แม่นางผู้นี้เป็นใคร เหตุใดถึงไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เพิ่งมาใหม่หรือ”
หลี่ลู่กลอกตาใส่เขา ไม่อยากจะสนใจ…เจ้าคนตาแหลม
ตี้อีชิวไม่สนใจเป้าอู่ กำชับว่า “เฝ้าที่นี่ไว้ให้ดี รอข้ากลับมา” กล่าวจบก็หันกายจากไป
รอจนกระทั่งเขาจากไปไกลแล้ว หลี่ลู่จึงวางแป้งชาดน้ำมันหอมเหล่านั้นลง เป้าอู่เข้ามาในห้อง ถึงอย่างไรข้างนอกก็หนาวเย็น จะสู้ในห้องได้อย่างไร ทั้งได้หลบลมหนาวทั้งยังอบอุ่น
เป้าอู่เดินไปตรงหน้าหวงหร่าง พินิจมองอยู่เป็นนาน จู่ๆ ก็ยื่นนิ้วออกไปจิ้มใบหน้านาง!
หลี่ลู่พุ่งเข้าไปปานโบยบิน ปัดมือเขาออกทันที “รองเจ้ากรมเป้า!” เจ้าอยากตายหรือไร!
เป้าอู่จุปากแล้วอุทาน “นิ่มโดยแท้ ทั้งยังอุ่นด้วย ของวิเศษชิ้นใหม่ของเจ้ากรมหรือ ในที่สุดเขาก็เริ่มสร้างคนแล้วหรือ”
“พูดอะไรของเจ้า!” อย่างไรเสียหลี่ลู่ก็ยังมีน้ำใจต่อสหายร่วมงาน จึงเตือนว่า “ต่อไปยามอยู่ต่อหน้าเจ้ากรม เจ้าพูดให้น้อยลงหน่อย”
เป้าอู่มองค้อน ยังคงสงสัยในตัวหวงหร่าง จึงถามนางว่า “เจ้าได้ยินที่รองเจ้ากรมข้าพูดหรือไม่ ถ้าเจ้าได้ยินก็กะพริบตา”
หวงหร่างจ้องบุรุษฉกรรจ์รูปร่างกำยำตรงหน้า มิอาจตอบสนองเขาได้ทันทีทันใด ร่างกายนางไม่อยู่ในการควบคุม มีเพียงดวงตาที่กลอกไปมาได้เล็กน้อย ส่วนการกะพริบตาเป็นเรื่องยากเย็นทีเดียว กว่านางจะกะพริบตา เป้าอู่ก็มองไปทางอื่นนานแล้ว