เป้าอู่ยังคิดจะดึงผมของหวงหร่าง หลี่ลู่รีบไล่ตะเพิดเขาไปเหมือนไล่สุนัข ไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้นางอีก
ทั้งสองคนเฝ้ารอตี้อีชิวด้วยกัน จู่ๆ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นข้างนอก
หลี่ลู่กับเป้าอู่มีท่าทีตื่นตัว หวงหร่างฟังออกว่านี่มิใช่เสียงฝีเท้าของตี้อีชิว แล้วก็จริงดังคาด มีบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามา
“นายท่านห้า” หลี่ลู่ปั้นหน้ายิ้มเข้าไปต้อนรับแล้วค้อมกายทำความเคารพ
เป้าอู่กลับดูเย็นชากว่ามาก เพียงคารวะอย่างส่งเดช ดูเหมือนว่าจะไม่ชอบหน้าบุรุษผู้นั้นสักเท่าไร
บุรุษผู้นั้นมองเข้ามาในห้องแล้วถามว่า “เจ้ากรมของพวกเจ้าเล่า”
น้ำเสียงเจือแววโอหัง เห็นได้ชัดว่าฐานะไม่ธรรมดา หรือกล่าวได้ว่าฐานะสูงส่งกว่าตี้อีชิว หวงหร่างคาดเดาในใจ
“เจ้ากรมจากไปเมื่อครู่นี้เอง แต่อีกไม่นานก็จะกลับมา นายท่านห้าโปรดรอสักครู่” ยามที่หลี่ลู่พูดจากับเขาดูระมัดระวังอย่างยิ่ง
บุรุษผู้นั้นจึงเดินอ้อมมาหลังโต๊ะเตรียมตัวจะนั่งลง แต่พอกวาดสายตาไปมองก็เห็นหวงหร่างนั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเข็น เขาเดินเข้าไปหานาง หลี่ลู่หัวใจกระตุกโดยพลัน
หลี่ลู่เดินตามติดบุรุษผู้นั้นพลางอธิบาย “นี่เป็นของเล่นที่เจ้ากรมเพิ่งทำขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันนี้ขอรับ”
จู่ๆ บุรุษผู้นั้นก็ยื่นมือออกมาเชยคางหวงหร่าง
หวงหร่างจึงเห็นรูปโฉมอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เขามิได้สวมชุดขุนนาง สวมเพียงชุดธรรมดาสีแดงปนทอง มีเกี้ยวหยกครอบอยู่บนศีรษะ เอวคาดแถบผ้าไหม ลักษณะการแต่งกายเช่นนี้เดิมทีควรดูสูงส่งสง่างาม ทว่าเขาผ่ายผอมเกินไป ผ่ายผอมจนดูไม่เหมือนคน ดังนั้นเมื่ออาภรณ์ชุดนี้สวมใส่อยู่บนร่าง จึงเหมือนโครงกระดูกที่ถูกคลุมด้วยผ้าผืนหนึ่ง
นิ้วมือเขาผอมยาวเหมือนกรงเล็บ ตัวคนดูเหมือนต้นไม้เหี่ยวแห้ง มองดูแล้วคล้ายผีมากกว่าคน
เขาจับจ้องหวงหร่างพลางพิจารณาอย่างละเอียดแล้วแค่นหัวเราะ “ดวงหน้านี้…ฮ่าๆ ในอดีตเขาเคยสู่ขอสตรีผู้นี้และถูกปฏิเสธ คิดไม่ถึงว่าผ่านมาร้อยกว่าปียังคงคิดถึงมิลืมเลือน ช่างเป็นความรักปักใจจนชวนให้คนเวทนายิ่งนัก”
น้ำเสียงเขาเปี่ยมด้วยแววเสียดสี คางของหวงหร่างถูกบีบจนเจ็บ แต่กลับทำอะไรไม่ได้
นายท่านห้าผู้นี้ยังคิดจะพิจารณาหวงหร่างต่อ ขณะที่เขาจะง้างปากหวงหร่างมองดูให้ถี่ถ้วนนั้นเอง เป้าอู่ก็เอ่ยเสียงขุ่น
“เจ้ากรมไม่อยู่ วัตถุเวทของเขานายท่านห้าอย่าแตะต้องส่งเดชจะดีกว่า!”
พอเขาเอ่ยคำพูดนี้ออกมา หลี่ลู่ก็รู้ว่าไม่ได้การ
จริงดังคาด นายท่านห้าผู้นี้ปล่อยมือจากหวงหร่างและยืดตัวขึ้น ถีบเท้าใส่เป้าอู่ “เจ้านับเป็นตัวอะไร กล้ามาห้ามข้าหรือ!”
เป้าอู่ถูกถีบทีหนึ่งก็รู้สึกไม่ยินยอม มือขยับไปหาดาบเล่มใหญ่ แต่สุดท้ายยังคงมิกล้าลงมือ นายท่านห้ายิ้มหยัน
“เจ้าลูกสุนัข เจ้ายังคิดจะชักดาบใส่ข้าเช่นนั้นรึ”
หลี่ลู่รีบเอ่ยว่า “เขามีหรือจะกล้า เขาวู่วามไร้มารยาทจนเคยตัว นายท่านห้าเป็นผู้ใหญ่จิตใจกว้างขวาง ไม่ถือสาความผิดของผู้น้อย หลี่ลู่ขออภัยนายท่านห้าแทนเขาด้วยขอรับ” กล่าวจบก็ทำท่าจะคุกเข่าลง แต่นายท่านห้าผู้นี้มีหรือจะยอมเลิกรา
เขาชี้หน้าเป้าอู่แล้วตวาดว่า “คุกเข่า!”
เป้าอู่เดือดดาลยากระงับ มือที่กุมดาบสั่นไม่หยุด หลี่ลู่รีบส่งสายตาให้เขา สองฝ่ายเผชิญหน้ากันอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ข้างนอกก็มีคนเอ่ยขึ้น
“ดูทีว่าวันนี้พี่ห้าจะว่างมาก ถึงได้มาเยือนกองเสวียนอู่สั่งสอนผู้ใต้บังคับบัญชาแทนข้า”
ตี้อีชิวกลับมาแล้ว มือเขาหอบหนังสัตว์สีขาวหิมะมากองหนึ่ง พอเข้ามาในห้องแล้วก็วางลงบนโต๊ะ
หัวใจที่ลอยคว้างของหลี่ลู่กลับเข้าที่ทันที เขาพรูลมหายใจยาว คุกเข่าลงบนพื้น ครั้งนี้เป้าอู่ไม่ต้องให้เขาดึงก็คุกเข่าตาม
“เจ้ากรม”
ตี้อีชิวมองคราเดียวก็เห็นรอยแดงบนใบหน้าหวงหร่าง หวงหร่างไม่ได้สัมผัสแสงแดดมาเป็นเวลาสิบปี ผิวพรรณจึงบอบบางผิดจากคนทั่วไป ส่วนพี่ห้าของเขาผู้นี้มือหนักมากจริงๆ รอยแดงนี้จึงสะดุดตาเป็นพิเศษ
ตี้อีชิวแววตาเยียบเย็น แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับเพิ่มมากขึ้น “พี่ห้ามาวันนี้เพราะฝ่าบาททรงมีรับสั่งอะไรใช่หรือไม่”
พี่ห้า? ฝ่าบาท?…