สำนักเซียนอวี้หู
หวงซู่ยังคงอาละวาดโวยวาย เรียกร้องจะพบหวงหร่าง
เซี่ยเซ่าชงรู้ว่าเขาเป็นเพียงตัวตลกที่กระโดดข้ามคาน* จึงส่งคนไปสกัดเขาไว้นอกประตูเขาเท่านั้น แต่อีกสามคนที่เหลือไม่ว่าจะทำอย่างไรก็มิอาจสกัดไว้ได้
เหอซีจิน จางซูจิ่ว และอู่จื่อโฉ่วเดินทางมาด้วยกันสามคน เรียกร้องขอพบเซี่ยหงเฉินและหวงหร่างเช่นเดียวกัน
พวกเขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าหวงหร่างมิได้อยู่ที่สำนักเซียนอวี้หู แต่พวกเขารู้มากไปกว่านั้นว่าในตอนนี้หวงหร่างปากเอ่ยคำพูดไม่ได้ ร่างกายมิอาจขยับ ความจริงแล้วไม่อาจซักถามอะไรจากปากนางได้ทั้งนั้น จึงได้แต่มาคาดคั้นสำนักเซียนอวี้หู คาดคั้นเซี่ยหงเฉิน หรือแม้กระทั่งเซี่ยหลิงปี้!
ร้อยปีในความฝันหวงหร่างปรับปรุงเมล็ดพันธุ์จำหน่ายมาโดยตลอด ช่วยเหลือผู้คนนับไม่ถ้วน
ส่วนนอกความฝัน ในฐานะนักปรับปรุงพันธุ์พืชก็กล่าวได้ว่าหวงหร่างเป็นผู้มีชื่อเสียง
บัดนี้เหอซีจิน จางซูจิ่ว และอู่จื่อโฉ่วย่อมรู้สึกเดือดดาล จะต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่
หลังจากความฝันทั้งสองครั้ง หัวลูกศรล้วนชี้ไปที่เซี่ยหลิงปี้ นี่คงมิใช่เป็นความบังเอิญกระมัง
…ชาวบ้านถึงขั้นเล่าลือกันว่าเซี่ยหลิงปี้บังเกิดความคิดต่ำช้ากับหวงหร่างจึงปองร้ายนาง ส่วนหวงหร่างก็กลายเป็นผีร้าย
สองครั้งที่เข้าสู่ห้วงฝันเป็นเพราะความแค้นของนางยังไม่สลายหายไป จึงเข้าไปเพื่อแก้แค้นเซี่ยหลิงปี้
ทั้งสามคนได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วย่อมเดือดดาลมากกว่าเดิม ทว่าพวกเขาไม่ได้พบเซี่ยหงเฉิน
บัดนี้เซี่ยหลิงปี้ป่วยหนัก ไม่สามารถพบแขกได้โดยสิ้นเชิง ส่วนเซี่ยหงเฉินก็ไม่ได้อยู่ที่สำนักเซียนอวี้หู
เมืองหลวง กรมซือเทียน
หิมะสีขาวปกคลุมถนนยาว คอเสื้อขององครักษ์หน้าจวนมีน้ำแข็งเกาะ
เวลานี้เองทุกคนรู้สึกว่าตรงหน้าสว่างวาบราวกับฟ้าดินมีแสงเจิดจ้าสาดออกมากะทันหัน องครักษ์สองคนมองตามแสงไป เห็นคนผู้หนึ่งกางร่มเดินเข้ามา
สองตาของเขาพันด้วยแถบผ้าสีขาว อาภรณ์สีขาวทั้งร่างปราศจากฝุ่นธุลี รองเท้าผ้าไหมที่สวมใส่ไม่แปดเปื้อน
หิมะตกหนักเช่นนี้ ใต้ฝ่าเท้าของทุกคนล้วนเฉอะแฉะสกปรก แต่เขากลับเหมือนลอยลงมาจากก้อนเมฆ ท่วงทีสง่างาม
เขามาถึงหน้าประตู หุบร่มกระดาษเคลือบน้ำมัน ยื่นเทียบชื่อออกไปพลางเอ่ยว่า “ประมุขสำนักเซียนอวี้หูเซี่ยหงเฉินมาขอพบเจ้ากรมซือเทียนตี้อีชิว”
เซี่ยหงเฉิน!
ลูกกระเดือกขององครักษ์ขยับไปมา เนิ่นนานจึงตอบว่า “ประมุขสำนักเซี่ยโปรดรอสักครู่”
เขาไม่สงสัยฐานะของคนตรงหน้าแม้แต่น้อย
…มีเพียงท่วงทีเช่นนี้เท่านั้นจึงจะคู่ควรกับฉายาเซียนกระบี่อันดับหนึ่งแห่งสำนักเซียน
กองเสวียนอู่ ห้องหนังสือ
ตี้อีชิวกำลังพลิกดูเอกสารที่ส่งมาจากที่ต่างๆ พยายามหาเงื่อนงำบางอย่างจาก ‘คนตายที่ฟื้นคืนชีพ’ ทว่าพลิกดูไปมาแล้วเหมือนจะไม่มีร่องรอยใดๆ
เก้าอี้ล้อเข็นของหวงหร่างถูกเข็นมาข้างโต๊ะทำงานของเขา พอสามารถอ่านเนื้อความในเอกสารของเขาได้ สิ่งนี้ก็ทำให้นางไม่รู้สึกเบื่อหน่ายถึงเพียงนั้น
จู่ๆ หลี่ลู่ก็มารายงานด้วยตนเองที่หน้าประตู “เจ้ากรม ประมุขสำนักเซี่ย เซี่ยหงเฉินมาขอพบขอรับ”
เซี่ยหงเฉิน
ตี้อีชิวได้ยินชื่อนี้แล้วก็บังเกิดความรังเกียจขึ้นมาโดยพลัน ครั้นนึกถึงเรื่องราวในความฝันประหลาด สีหน้าเขาก็พลันแปลกไป…จะไม่แปลกได้อย่างไร เขาเกือบยกย่องคนผู้นี้เป็นพ่อตาของตนเองอยู่แล้ว
“ประมุขสำนักเซี่ยอายุปูนนี้ ดวงตาก็ใช้การได้ไม่ค่อยดี คลำทางมาตลอดทางเช่นนี้คงลำบากไม่น้อย ปล่อยให้เขารออยู่กลางหิมะช่างเสียมารยาทโดยแท้” ใต้เท้าเจ้ากรมกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดสี “ยังไม่รีบเชิญเข้ามาดื่มชาในห้องโถงรับแขกอีก”
หลี่ลู่อยากจะเปิดหน้าต่างให้หวงหร่างเหลือเกิน จะได้ระบายกลิ่นน้ำส้มที่กระจายอยู่ทั่วห้องหนังสือออกไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 ก.ค. 68