เดิมทีเนี่ยชิงหลันเฝ้าอยู่นอกตำหนัก บัดนี้ได้ยินเสียงก็เข้ามาข้างในทันที เขาเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ ทางตำหนักหลัวฝูส่งคนมาเชิญอีกแล้ว แม้แต่ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ก็ไปที่นั่นแล้ว เกรงว่าปรมาจารย์คงจะ…เคราะห์ร้ายมากกว่าดีขอรับ”
เซี่ยหงเฉินไม่ตอบอะไร กลับยื่นวัตถุวิเศษเก็บของเมื่อครู่นี้ใส่มือเขาแล้วสั่งว่า “เจ้านำของชิ้นนี้ไปกรมซือเทียน มอบให้ผู้อาวุโสเหมียวอวิ๋นจือ”
“ผู้อาวุโสเหมียว? เขาอยู่ที่กรมซือเทียนหรือขอรับ” เนี่ยชิงหลันประหลาดใจ เขาย่อมต้องประหลาดใจอยู่แล้ว ยอดฝีมือด้านการแพทย์ในตอนนี้ คนหนึ่งคือเหมียวอวิ๋นจือ อีกคนคือฉิวเซิ่งไป๋
ซือเวิ่นอวี๋ดึงตัวฉิวเซิ่งไป๋มาอยู่ภายใต้อาณัติแล้ว หากมีเหมียวอวิ๋นจืออีกคนเกรงว่าคงมิใช่เรื่องดีนัก
แต่เซี่ยหงเฉินกลับเอ่ยเพียง “ไปเถิด”
เนี่ยชิงหลันไม่กล้าโต้แย้ง ได้แต่ออกเดินทางทันที เซี่ยหงเฉินจึงแต่งตัวใหม่อีกครั้งแล้วรุดไปยังยอดเขาอั้นเหลย
ยอดเขาอั้นเหลย ตำหนักหลัวฝู
ยามนี้แม้กระทั่งผู้อาวุโสหลายคนที่เก็บตัวหรือเร้นกายไปแล้วล้วนมาถึงแล้ว ครั้นเห็นเซี่ยหงเฉิน คนเหล่านี้ต่างพากันค้อมกายคารวะ เซี่ยหงเฉินก็คารวะตอบทีละคน
อันที่จริงผู้อาวุโสเหล่านี้รักและเชื่อมั่นในตัวประมุขสำนักอย่างเซี่ยหงเฉินมากทีเดียว
เรื่องราวในความฝันครั้งที่สอง แม้พวกเขาจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องทางโลก แต่ก็ได้ยินมาหมดแล้ว ยามนี้เมื่อเผชิญหน้ากับอาการป่วยของเซี่ยหลิงปี้ สีหน้าของพวกเขาล้วนหนักอึ้ง
ผู้อาวุโสใหญ่ฉิวไฉ่ลิ่งก้าวออกมาเอ่ยว่า “ประมุขสำนัก ขอเชิญออกไปพูดคุยกันสักหน่อย”
ดังนั้นเซี่ยหงเฉินจึงผละจากทุกคนและตามเขาออกไป คนอื่นๆ รู้สถานการณ์จึงมิได้ตามออกไปด้วย
ฉิวไฉ่ลิ่งเส้นผมและหนวดเคราขาวโพลน แต่ใบหน้ามีสีเลือดฝาด เต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่า เขาเอ่ยขึ้น
“เรื่องของหลิงปี้พวกเราทราบแล้ว แม้ในความฝันเขาจะกระทำการไม่เหมาะสม แต่ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นเพียงความฝัน บัดนี้…ชีวิตเขาตกอยู่ในอันตราย คงเหลือเวลาอีกไม่มาก เรื่องของเขา…หวังว่าเจ้าจะจัดการให้ดี ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าให้กระทบถึงสำนัก” เขาถอนหายใจคราหนึ่งแล้วเอ่ยอีกว่า “ชื่อเสียงของสำนักตลอดพันปีได้มาไม่ง่าย”
เซี่ยหงเฉินเข้าใจความหมายของเขา จึงเอ่ยถามว่า “คำพูดของผู้อาวุโสฉิวก็เป็นเจตนาของผู้อาวุโสท่านอื่นๆ ด้วยหรือ”
ฉิวไฉ่ลิ่งกล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไรย่อมต้องยึดถือส่วนรวมเป็นสำคัญมิใช่หรือ”
เขากล่าวเช่นนี้เท่ากับเป็นการยอมรับแล้ว
เซี่ยหงเฉินเลื่อนสายตาออกไปเล็กน้อย มองไปยังผู้อาวุโสคนอื่นๆ ส่วนผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็มองมาทางนี้เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าจุดยืนของพวกเขาเป็นเช่นเดียวกับฉิวไฉ่ลิ่ง
เซี่ยหงเฉินกล่าวว่า “ในโลกความจริงภรรยาข้าหวงหร่างถูกลงทัณฑ์ด้วยเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูก กลายเป็นคนตายที่ยังหายใจอยู่ ก่อนหน้านี้ข้าถึงขั้นคิดว่านางถูกราชสำนักบงการหรือไม่ จนกระทั่งได้เห็นนางกับตา จึงรู้ว่าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริง ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้พวกเราก็ต้องมีคำตอบให้นาง”
ฉิวไฉ่ลิ่งขมวดคิ้ว “ทว่าต่อให้มีคำตอบ คนที่ถูกลงทัณฑ์ด้วยเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกไปแล้วยังจะกลับมาเป็นเช่นเดิมได้หรือ”
เซี่ยหงเฉินจึงเข้าใจเจตนาของผู้อาวุโสสิบกว่าคนนี้แล้ว
คำพูดของฉิวไฉ่ลิ่งเกรงว่าคงเป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสคนอื่นๆ อยากจะพูดเช่นกัน
เซี่ยหลิงปี้ใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว หากเขาตายไป เช่นนั้นไม่ว่าเขาจะเคยทำอะไร ทุกคนล้วนไม่อยากสืบสาวเอาความอีก โดยเฉพาะจะพิจารณาคดีของเขาอย่างเปิดเผยไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นพวกผู้อาวุโสเหล่านี้จึงบอกเซี่ยหงเฉินเป็นนัยว่าให้เก็บกวาดสิ่งที่เซี่ยหลิงปี้ทำให้เรียบร้อย
เซี่ยหงเฉินไม่พูดอะไร ฉิวไฉ่ลิ่งย่อมไม่สะดวกที่จะบีบบังคับ จะว่าไปแล้วเรื่องของหวงหร่างไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเซี่ยหลิงปี้ที่ละเมิดข้อห้าม
เครื่องมือลงทัณฑ์ร้ายแรงอย่างเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูก เดิมทีก็ถูกสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดมิให้นำมาใช้โดยพลการ
ผู้รับโทษทัณฑ์นี้ในส่วนลึกของตำหนักหลัวฝูแต่ละคนล้วนเป็นคนชั่วที่ถูกสำนักเซียนพิจารณาตัดสินอย่างเปิดเผย อีกทั้งพวกเขาก็ยอมรับความผิดและยินดีรับโทษทัณฑ์ทั้งสิ้น
แต่หวงหร่างยังมิได้ถูกพิจารณาตัดสินอย่างเปิดเผย เช่นนั้นนางจะรับโทษทัณฑ์นี้ได้อย่างไร