หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไป สำนักเซียนอวี้หูย่อมยากที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบ
บรรดาผู้อาวุโสเหล่านี้แม้จะเก็บตัวเป็นเวลานาน ไม่สนใจงานกิจของสำนัก แต่บัดนี้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น ทุกคนย่อมเลี่ยงมิได้ที่จะออกหน้าเข้ามาแทรกแซง
เซี่ยหงเฉินจ้องมองผู้อาวุโสตรงหน้าพลางถามว่า “เช่นนั้นอาหร่างก็ต้องรับโทษทัณฑ์อย่างไม่เป็นธรรมเช่นนั้นหรือ”
ฉิวไฉ่ลิ่งอึ้งงันไปเล็กน้อย ครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “ประมุขสำนัก หลิงปี้เป็นอาจารย์ของเจ้า สามร้อยหกสิบปีก่อนเป็นเขาที่อุ้มเจ้ากลับมาจากนอกประตูสำนัก เจ้าในตอนนั้นหนาวจนเขียวคล้ำไปทั้งร่าง ข้าเห็นกับตาว่าเขาปลดเสื้อตัวใน อุ้มเจ้าไว้แนบอกและพาเข้ามาในสำนัก ให้ความอบอุ่นอยู่ครึ่งคืน เจ้าจึงส่งเสียงร้องไห้ออกมาได้”
“ใช่ ข้าติดค้างเขา” สีหน้าของเซี่ยหงเฉินพลันเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง เขาคล้ายคิดอะไรบางอย่างได้แล้ว ทันใดนั้นก็รู้สึกโล่งอก
ฉิวไฉ่ลิ่งเห็นดังนั้นก็อดพูดมิได้ “อาจารย์กับศิษย์ดั่งบิดากับบุตร ในเมื่อเป็นบิดากับบุตรย่อมไม่มีคำว่าติดค้างกัน เพียงแต่ตอนนี้ประมุขสำนักเป็นชื่อเสียงหน้าตาของสำนักเซียนเรา หากมีเรื่องราวฉาวโฉ่เช่นนี้แพร่ออกไป เกรงว่าความอัปยศของสำนักคงยากจะลบล้างได้”
เซี่ยหงเฉินไม่พูดอะไรอีก เพียงย่างเท้าเข้าไปในตำหนักหลัวฝูอีกครั้ง เห็นใบหน้าของเซี่ยหลิงปี้บนเตียงในตำหนักดุจกระดาษทอง* ลมหายใจของเขาแผ่วเบาจนแทบไม่รู้สึก จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าของเซี่ยหงเฉิน เขาจึงลืมตาขึ้นในที่สุด
“เจ้ามาแล้วหรือ” เสียงของเซี่ยหลิงปี้แหบแห้งคล้ายถูกสูบเอาพลังชีวิตออกไปจนหมด
เดิมทีเซี่ยหยวนซูอยู่เป็นเพื่อนบิดาตรงนี้ แต่พอเซี่ยหลิงปี้เห็นเซี่ยหงเฉินเข้ามาก็เอ่ยกับเขาทันที
“เจ้าออกไปก่อน ข้ากับประมุขสำนักมีเรื่องจะคุยกัน”
เซี่ยหยวนซูกลอกตาทันที
หลังจากบาดเจ็บสาหัสในความฝันครั้งแรกเขาก็พักฟื้นอยู่หลายวัน บัดนี้เพิ่งจะลงจากเตียงได้ก็ทราบข่าวว่าบิดาป่วยหนัก
เขารุดมาอย่างเร่งรีบ แต่เซี่ยหลิงปี้ยังคงเป็นเช่นเดิม พอเห็นเซี่ยหงเฉิน สายตาก็มองไม่เห็นบุตรชายอย่างเขาอีก
เซี่ยหยวนซูแค่นเสียงคราหนึ่ง โชคดีที่เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต เขาชินชาเสียแล้ว เพียงปรายตามองเซี่ยหงเฉินคราหนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกไป
เซี่ยหงเฉินเดินไปยังข้างเตียง จ้องมองเซี่ยหลิงปี้บนเตียงจากตำแหน่งที่สูงกว่า
เซี่ยหลิงปี้ฝืนยิ้มอย่างทุกข์ตรม “ข้ามาถึงช่วงเวลาที่ตะเกียงหมดน้ำมันแล้ว ต่อไปสำนักเซียนคงได้แต่มอบให้เจ้าแล้ว”
เซี่ยหงเฉินคว้าข้อมือเขา เซี่ยหลิงปี้หมายจะขัดขืน แต่เซี่ยหงเฉินเพียงใช้ปราณแท้กระตุ้น บนข้อมือเขาก็ปรากฏไอดำทันที ไอดำนี้ผุดขึ้นมาจากรูขุมขนของเขา ตลอดทั้งร่างเขาแลดูชั่วร้ายอย่างยิ่ง
“ท่านใช้ความแค้นเป็นอาหาร ฝึกวิชาในคัมภีร์ปีศาจมารวิญญาณ!” สุ้มเสียงของเซี่ยหงเฉินยากจะปกปิดความตื่นตระหนกและความกรุ่นโกรธ “ท่านอาจารย์ ข้าผิดหวังจริงๆ”
เซี่ยหลิงปี้มิได้โต้แย้ง พอเซี่ยหงเฉินปล่อยมือ ข้อมือเขาก็ตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง “ใช่แล้วอย่างไร เดิมทีจิตใจข้าไม่ยินยอม อยากจะฝืนสวรรค์เปลี่ยนแปลงชะตา แต่ท้ายที่สุดแล้วลิขิตสวรรค์ก็ยากจะฝ่าฝืน” เขาถอนหายใจแล้วพูดอีกว่า “ลิขิตสวรรค์ยากจะฝ่าฝืน”
เซี่ยหงเฉินไม่เอ่ยปากอยู่เนิ่นนาน
คนตรงหน้าผู้นี้ทำร้ายหวงหร่าง เป็นไปได้ว่าเขายังทำร้ายเด็กๆ ที่บริสุทธิ์เหล่านั้นเพียงเพื่อจะฝึกวิชามารเช่นนี้ เขาใช้ความแค้นเป็นอาหาร เพิ่มพลังวัตรของตนเอง
เซี่ยหงเฉินกล่าวว่า “เป็นเพราะอาหร่างรู้เรื่องคัมภีร์ปีศาจมารวิญญาณ ดังนั้นจึงถูกท่านอาจารย์ทำร้ายใช่หรือไม่”
“ฮ่าๆ” เซี่ยหลิงปี้หัวเราะอย่างเสียดสี “นางชั้นต่ำผู้นั้นข้าอยากจะเอาชีวิตนางมานานแล้ว นางจะรู้ก็ดีหรือไม่รู้ก็ช่าง ท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นเพียงหินขวางทางก้อนหนึ่งของเจ้า เจ้าใจอ่อนเกินไป วันหน้าเมื่อข้าไม่อยู่ เจ้าต้องปกครองสำนัก มีนางชั้นต่ำผู้นั้นอยู่ข้างกายย่อมเป็นเภทภัย” เขาแค่เอ่ยคำพูดไม่กี่ประโยคนี้ก็หอบหายใจอย่างรุนแรง จึงต้องหยุดพักครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “กำจัดนางทิ้งเสีย ข้าถึงจะวางใจ”
เซี่ยหงเฉินไม่เอ่ยอะไรอยู่เนิ่นนาน
เมื่อครู่ฉิวไฉ่ลิ่งพูดถึงบุญคุณที่เซี่ยหลิงปี้มีต่อเขา