ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 65-66
ทว่าสิ่งที่เขารู้เป็นเพียงขนหนึ่งเส้นของวัวเก้าตัวเท่านั้น
“ข้าจำได้ว่าข้าพำนักอยู่ในตำหนักหลัวฝูมาตั้งแต่เล็ก เติบโตขึ้นมาข้างกายท่าน” เซี่ยหงเฉินพลันเอ่ยขึ้น
ทรวงอกของเซี่ยหลิงปี้สะท้อนขึ้นลงอย่างรุนแรงขณะพูด “เรื่องราวเก่าก่อนยังจะพูดถึงเพื่ออันใด”
เซี่ยหงเฉินกล่าวว่า “สมัยยังเด็กข้านอนเตียงเดียวกับท่าน ท่านมักจะนั่งขัดสมาธิฝึกวิชา ภายหลังเมื่อข้าเติบโตขึ้น ท่านก็ไล่ข้าไปพักในตำหนักข้าง ตกกลางคืนข้าหวาดกลัว แต่ไม่กล้ามาหาท่าน จึงได้แต่หลบอยู่หลังหน้าต่างห้องท่าน ดังนั้นท่านจึงไม่เคยดับไฟ ทั้งยังไม่ปิดหน้าต่าง”
เซี่ยหลิงปี้ไม่เอ่ยอะไร เขากุมหน้าอก แววตากลับเลื่อนลอยอยู่บ้าง
“กาลเวลาช่างไร้ความปรานี” เขาเอ่ยออกมาประโยคหนึ่งด้วยท่าทีทอดถอนใจอย่างหาได้ยาก
เซี่ยหงเฉินกล่าวว่า “ข้ารู้มาตั้งแต่เล็กว่าพี่ใหญ่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน ดังนั้นไม่ว่าเขาจะรังแกข้าอย่างไร ข้าล้วนอดทนและยอมอ่อนข้อให้เขาเสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งท่านใช้เถาวัลย์หนามโบยเขาหนึ่งร้อยที ท่านบอกว่าหากต่อไปข้ายังอ่อนข้อให้เขาอีก ท่านจะสังหารเขาเสีย เพราะด้วยความโอหังเอาแต่ใจของเขา ช้าเร็วย่อมต้องตายอยู่ดี”
“นับแต่นั้นมาเจ้าก็บังคับควบคุมเขาอย่างเข้มงวดขึ้นทุกวัน” เซี่ยหลิงปี้ยิ้มพลางเอ่ย “หลายปีมานี้หากไม่ได้เจ้า เขามีหรือจะอยู่รอดมาได้จนถึงวันนี้”
เซี่ยหงเฉินกุมมือเขา เนิ่นนานหลังจากนั้นก็วาดยันต์คาถาชุดหนึ่งลงบนฝ่ามือเขา
เซี่ยหลิงปี้อึ้งงันไปเล็กน้อย ถามว่า “เจ้าทำอะไร”
เซี่ยหงเฉินแบมือขวา บนฝ่ามือเขาก็มียันต์คาถาเช่นเดียวกัน เพียงแต่ทิศทางกลับด้านประหนึ่งส่องคันฉ่อง เขายื่นมือออกไปกุมประสานกับยันต์บนฝ่ามือของเซี่ยหลิงปี้
“ในเมื่อท่านอาจารย์ฝึกวิชาในคัมภีร์ปีศาจมารวิญญาณย่อมต้องรู้ว่าวิชานี้สามารถชิงร่างได้”
เซี่ยหลิงปี้นิ่งไปเล็กน้อย ชั่วเวลานี้แววเสียดสีในดวงตาเขาเลือนหายไป เผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
“ข้าได้รับบุญคุณที่ท่านอาจารย์สอนสั่งเลี้ยงดูมา ไม่มีสิ่งอื่นใดจะตอบแทน ทว่า…ท่านอาจารย์ทำร้ายภรรยาข้า ข้าก็มิอาจนิ่งดูดายเช่นกัน บัดนี้ข้าขอใช้ร่างกายนี้ทดแทนบุญคุณของท่านอาจารย์” เขาเอ่ยแต่ละถ้อยคำอย่างสงบนิ่ง “นับแต่นี้ไปความสัมพันธ์ฉันอาจารย์กับศิษย์ระหว่างท่านกับข้าขาดสะบั้น เหลือไว้เพียงความแค้น”
ยันต์คาถาดึงดูดกัน ภายในตำหนักหลัวฝูแสงและหมอกตัดกันไปมา
เซี่ยหลิงปี้รู้สึกว่าดวงจิตสั่นสะเทือน ร่างกายเขาเหมือนขยายใหญ่ขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด ทั้งหดเล็กลงอย่างไม่สิ้นสุด ถูกยันต์คาถาดูดเข้าสู่ร่างกายของเซี่ยหงเฉิน
ในช่วงเวลาสุดท้ายเขาถามว่า “เซี่ยหงเฉิน เจ้าไม่เคยคิดเลยหรือว่านี่อาจเป็นแผนการของข้า”
เซี่ยหงเฉินไม่ตอบอะไร
แต่เขาย่อมต้องเคยคิดอยู่แล้ว
วางแผนมาเนิ่นนาน ฝึกวิชามารเช่นนี้สามารถชิงร่างผู้อื่นได้พอดี มิใช่เรื่องแปลกมากหรือไร
ทว่าเขาไม่ได้ตอบ
ชั่วเวลานั้นเรื่องราวเก่าก่อนมากมายประหนึ่งหนามแหลมที่แทงย้อนกลับเข้าไปในเนื้อ เสียดผ่านผิวหนังของความทรงจำ เปิดเนื้อหนังออกมา เผยให้เห็นโลหิตชุ่มโชก
“เจ้าช่างโง่เขลาเสียจริง” ดวงจิตของเซี่ยหลิงปี้ถูกดูดเข้าไปในร่างกายเซี่ยหงเฉิน ยามเขาเอ่ยคำพูดอีกครั้งก็เป็นเสียงของเซี่ยหงเฉินแล้ว “ช่างโง่เขลาโดยแท้” เขาทอดถอนใจ “ข้าวางแผนมานานปี มีอุบายอีกนับไม่ถ้วนที่ยังไม่ได้นำออกมาใช้ แต่เจ้ากลับมอบร่างกายตนเองให้ข้าเสียแล้ว”
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงในกะโหลกศีรษะหายไปแล้ว
เซี่ยหลิงปี้จ้อง ‘ตนเอง’ ที่อยู่ตรงหน้า ที่แท้เขาแก่ชราถึงเพียงนี้แล้ว เขายื่นมือออกไปหมายจะสัมผัสใบหน้าของ ‘ตนเอง’ แต่เวลานี้ตัวเขาที่อยู่ตรงหน้าลืมตาขึ้น
‘ตนเอง’ ที่เส้นผมขาวโพลนลุกขึ้นยืน กิริยาท่าทางแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง จากนั้นก็จ้องมองเซี่ยหลิงปี้ที่อยู่ตรงข้าม เนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้น
“ท่านจะสังหารข้าหรือไม่”
เซี่ยหลิงปี้ขยับร่างอ่อนเยาว์ร่างนี้ แม้เซี่ยหงเฉินจะอายุสามร้อยกว่าปีแล้ว ทว่าอายุเท่านี้ในสำนักเซียนนับว่าเป็นช่วงวัยฉกรรจ์
คนหนุ่มช่างดีจริงๆ อีกทั้งแก่นกระดูกของเขายังหาได้ยากยิ่ง
ร่างกายเช่นนี้เขายังมอบมันออกมาอย่างง่ายดาย ช่าง…ไร้เดียงสาจนน่าสงสาร
เซี่ยหลิงปี้จ้อง ‘ตนเอง’ ที่แก่ชราตรงหน้า พึมพำว่า “หงเฉิน เจ้าทำให้ข้ารู้สึก…ซาบซึ้งใจอยู่บ้างจริงๆ”
เขามิได้เอ่ยคำพูดนี้มานานแล้ว บัดนี้เมื่อพูดออกมายังรู้สึกไม่คุ้นเคย
ดังนั้นเขาจึงเงียบไปนาน หลายปีมานี้เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจคอยดูแลเซี่ยหงเฉินทุกอย่าง เฝ้ามองเขาจากทารกตัวน้อยเติบโตขึ้นเป็นเซียนกระบี่อันดับหนึ่งผู้หยิ่งทะนงแห่งสำนักเซียน
ความทรงจำสามร้อยหกสิบปียาวนานเกินไป ต่อให้เป็นคนเลือดเย็นเพียงใดก็ยังมีเรื่องราวมากมายให้หวนระลึกถึง
“ข้าจะรักษาชีวิตของเจ้าไว้” เซี่ยหลิงปี้ก้มหน้าลง เนิ่นนานจึงคลี่ยิ้มเสียดสีอย่างชั่วร้าย “อย่างไรเสียเกรงว่านี่คงเป็น…ความซาบซึ้งใจครั้งสุดท้ายในชีวิตนี้ของข้าแล้ว”
ชายชราที่ทั้งแปลกหน้าและคุ้นเคยตรงหน้าไม่ตื่นตระหนกและไม่หวาดหวั่น
แล้วอย่างไรเล่า แม้กระทั่งร่างกายของตนเองยังมอบให้ได้ เขายังจะกลัวความตายอยู่อีกหรือ
เซี่ยหงเฉินสัมผัสกับความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนกะโหลกจะแตกของร่างกายนี้ พูดช้าๆ ว่า “ข้าหวังว่าความซาบซึ้งใจของท่านอาจารย์จะเป็นการใช้ร่างกายของข้าดำเนินชีวิตต่อไปให้ดี อย่าก่อกรรมทำชั่วอีก”
ทว่าสิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงเสียงหัวเราะดังลั่นของเซี่ยหลิงปี้
“อย่าก่อกรรมทำชั่วอีกหรือ” เซี่ยหลิงปี้หัวเราะเสร็จก็ถอนหายใจยาว “หงเฉิน เจ้าช่างโง่เขลาจนชวนให้คนเวทนายิ่ง”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 ส.ค. 68
Comments
