เขายอบกายลง ยามที่ยกมือขึ้นสัมผัสเส้นผมของหวงหร่าง ความคมกริบถูกส่งมายังท้องนิ้ว ชั่วขณะนั้นในที่สุดมือของเซียนกระบี่อันดับหนึ่งก็สั่นเทา
…เขารู้ว่านั่นคือสิ่งใด ในฐานะประมุขสำนักเซียนอวี้หูเขารู้ดีกว่าใครทั้งนั้น
“อาหร่าง?” พอสองคำนี้เอ่ยออกจากปากก็คล้ายจับตัวแข็งเพราะไอเย็นในเหมันต์ ทำให้ลมหายใจสั่นสะท้าน
ตี้อีชิวย้ายอ่างไฟเข้ามาวางไว้ข้างเท้าหวงหร่างพลางพูดว่า “ประมุขสำนักเซี่ยอยากถามอะไรก็รีบถามเสียเถิด” เขาปัดหยดน้ำที่ละลายอยู่บนเส้นผมนางออกอย่างแผ่วเบา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “ถึงอย่างไรตอนนี้นาง…ก็เปราะบางเหลือเกิน อากาศเช่นนี้เดิมทีก็ไม่อยากจะพาออกมาพบแขก”
ทว่าเซี่ยหงเฉินยังจะถามอะไรได้
ความรักตลอดร้อยกว่าปีเป็นเรื่องจริง ถูกทัณฑ์ทรมานเป็นเรื่องจริง ถูกกักขังสิบปีก็เป็นเรื่องจริง
เพียงแต่เวลาผันผ่านทุกสิ่งแปรเปลี่ยน มองหน้ากันแต่ไร้ซึ่งวาจา
เซี่ยหงเฉินอยากจะกุมมือหวงหร่างไว้ ทว่าตี้อีชิวสกัดไว้อย่างรวดเร็ว เขาขยับเก้าอี้ล้อเข็นของหวงหร่างไปข้างหลังเล็กน้อยแล้วเอ่ยบอก
“ประมุขสำนักเซี่ยอาจไม่รู้ว่าธรรมเนียมชายหญิงในโลกสามัญเคร่งครัดทีเดียว ท่านทำเช่นนี้เสียมารยาทยิ่ง”
เซี่ยหงเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ สะกดกลั้นอารมณ์ทั้งหมดที่พลุ่งพล่านปั่นป่วนอยู่ในอก เขาพยายามทำให้น้ำเสียงของตนเองสงบนิ่ง
“ข้าจะพานางกลับไป”
“พากลับไป?” ตี้อีชิวคล้ายได้ยินเรื่องขบขันปานนั้น เขาถามว่า “หลังจากนั้นเล่า ส่งตัวนางให้เซี่ยหลิงปี้หรือ”
เซี่ยหงเฉินอึ้งงันไป ในที่สุดใต้เท้าเจ้ากรมก็หัวเราะออกมาแล้วถามต่อ
“หรือว่าพาตัวนางไปป่าวประกาศต่อสำนักเซียนทั้งหมด คืนความบริสุทธิ์ให้เซี่ยหลิงปี้”
เขาเน้นย้ำคำว่า ‘ความบริสุทธิ์’ จนฟังดูเหมือนการเยาะหยัน
เซี่ยหงเฉินเอ่ยเสียงขุ่นเคือง “ตี้อีชิว นางเป็นภรรยาของข้า!”
ตี้อีชิวโต้กลับทันที “มิใช่นานแล้ว” กล่าวจบเขาก็ลูบผมยาวของหวงหร่าง “เซี่ยหงเฉิน ต่อให้ในอดีตที่ตำบลเซียนฉานางทำผิดพลาดไปครั้งหนึ่งก็ไม่มีเหตุผลที่นางจะต้องเป็นของท่านไปทั้งชีวิต”
“ผิดพลาดไปครั้งหนึ่งหรือ” เซี่ยหงเฉินแค่นหัวเราะ แม้เป็นคนที่สุภาพและใจกว้างเช่นเขา ยามนี้วาจาก็เปลี่ยนเป็นเฉียบคม “ท่านมีสิทธิ์อะไรมาพูดแทนนาง มีสิทธิ์อะไรมาตัดสินใจแทนนาง มีสิทธิ์อะไรมาใคร่ครวญผิดถูกแทนนาง”
ตี้อีชิวกดมือลงบนไหล่หวงหร่างเบาๆ เขาสบตากับเซี่ยหงเฉิน ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว “สิทธิ์ที่ร้อยปีในความฝันนางตอบรับคำขอของข้า ยอมแต่งเป็นภรรยาของข้า”
โลหิตของเซี่ยหงเฉินจับตัวแข็ง ฝีเท้าซวนเซเล็กน้อย ได้แต่ถอยไปหนึ่งก้าว
“ความฝันหนานเคอ* ถือเป็นเรื่องจริงได้หรือ” เซี่ยหงเฉินยิ้มอย่างเย็นชาพลางเอ่ยขึ้น “ตี้อีชิว วันนี้ข้าจะต้องพานางจากไปให้ได้” เซี่ยหงเฉินเป็นคนสุภาพอ่อนโยนมาโดยตลอด น้อยครั้งนักที่คนอื่นจะได้เห็นท่าทีแข็งกร้าวของเขา แต่บัดนี้กระบี่แห่งจิตของเขาอยู่ในมือขณะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ใครก็มิอาจขัดขวาง”
“เช่นนั้นก็มาตัดสินกัน” ใต้เท้าเจ้ากรมไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ถึงขั้นกล่าวอย่างเสียดสีว่า “เซียนกระบี่อันดับหนึ่ง”
หากจะประมือแน่นอนว่ามิอาจกระทำในห้องโถงรับแขกได้
เซี่ยหงเฉินกับตี้อีชิวใจตรงกัน ต่างถอยออกไปในลานเรือน
ลมหิมะพัดหวีดหวิว เงาร่างหนึ่งขาวหนึ่งม่วงเผชิญหน้ากันกลางสายลม เพียงครู่เดียวหิมะที่โปรยปรายก็คมกริบดุจใบมีด
กระบี่แห่งจิตในมือเซี่ยหงเฉินสาดแสงไปทั่วฟ้าดิน ส่วนมือของตี้อีชิวก็ผุดเกล็ดงูสีเขียวขึ้นอีกครั้ง หมอกพิษกลุ่มหนึ่งโอบล้อมเขาไว้ ยามหิมะต้องไอหมอกเกิดเสียงดังฉี่ ครั้นเห็นสถานการณ์เช่นนี้ผู้คนรอบข้างต่างรู้ว่าแย่แล้ว
จากนั้นกระบี่ของเซี่ยหงเฉินก็ฟาดฟันลงมา ประกายเจิดจ้าดั่งอสนีบาต ราวกับจะแยกผืนนภาและปฐพีออกจากกัน
ส่วนตี้อีชิวเนื่องจากศึกษาค้นคว้าอย่างบ้าคลั่งมาร้อยปีในความฝัน จึงกระจ่างแจ้งในกระบวนท่าของสำนักเซียนอวี้หูเช่นเดียวกับรู้จักนิ้วมือของตนเอง เขาใช้หมอกพิษต้านรับกระบี่นี้ จากนั้นอุ้งมือดุจตะขอจู่โจมกลับไป หูของทุกคนได้ยินเพียงเสียงปะทะกันของกระบี่และกรงเล็บ สายตาเห็นเพียงเงาพร่าเลือน