สำนักเซียนอวี้หู
ศีรษะเซี่ยเซ่าชงราวกับกำลังพองขยาย ปรมาจารย์ผู้นี้บาดเจ็บอย่างรุนแรง ร้องโหยหวนไม่หยุด
เหอซีจิน จางซูจิ่ว และอู่จื่อโฉ่วมาตรวจดูด้วยตนเองแล้ว แต่เพราะรู้ว่าซักถามอะไรไม่ได้จึงร้อนใจเช่นกัน
เคราะห์ดีที่จังหวะนี้เองเซี่ยหงเฉินกลับถึงสำนักแล้ว
เหอซีจินและคนอื่นๆ ล้อมวงเข้าไปทันใด เหอซีจินเอ่ยปากขึ้นก่อน “ชะ…ชะ…ชี้…”
จางซูจิ่วเอ่ยแทน “ประมุขสำนักเซี่ย เรื่องของเซี่ยฮูหยิน สำนักเซียนอวี้หูจำเป็นต้องให้คำชี้แจงกับพวกเรา!”
…ด้วยความร้อนใจ เหอซีจินจึงตัดคำพูดประโยคแรกออกไปเสีย
เซี่ยหงเฉินกวาดตามองทั้งสามคน ยามนี้ความกลัดกลุ้มในใจเขาหาได้น้อยไปกว่าทุกคนไม่
เขาข่มอารมณ์แล้วตอบว่า “มิขอปิดบัง อาหร่างหายตัวไปเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน”
เมื่อเขายอมพูด พวกเหอซีจินก็นับว่าโล่งอก
จางซูจิ่วรีบถาม “หายตัวไปด้วยเหตุใด ฮูหยินประมุขสำนักเซียนอวี้หูหายตัวไปทั้งคน เหตุใดประมุขสำนักเซี่ยถึงประกาศต่อภายนอกว่านางเก็บตัวรักษาโรคเล่า ผ่านมาหลายปีเพียงนี้ได้ออกตามหาบ้างหรือไม่”
เขาถามคำถามยาวเหยียด เพียงเพราะเรื่องนี้มีหลายจุดเหลือเกินที่ทำให้คนไม่เข้าใจ
เซี่ยหงเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ…หากเขาบอกเรื่องที่หวงหร่างเคยพูดเกี่ยวกับเซี่ยหลิงปี้ออกไป สำนักเซียนย่อมต้องพิจารณาตัดสินคดีนี้อย่างเปิดเผย
ไม่พูดถึงผลการพิจารณาตัดสิน เอาแค่การคาดเดาของผู้คน สิ่งที่จะกลายเป็นตำนานเรื่องเล่าก็เพียงพอที่จะทำลายสำนักที่คงอยู่มาพันปีให้ย่อยยับได้แล้ว
“หลังจากภรรยาข้าหายตัวไป ข้าเคยส่งคนออกตามหาอย่างลับๆ เพียงแต่…” เสียงของเขาหยุดไป
อู่จื่อโฉ่วจึงกล่าวต่อ “เพียงแต่ท่านอ้างว่าเป็นน้องภรรยาที่หายสาบสูญ เสาะหาอยู่นานก็ไม่เป็นผล”
เซี่ยหงเฉินเงียบเป็นการยอมรับ อู่จื่อโฉ่วจึงกล่าวขึ้นอีก
“มิน่าเล่าตอนศิษย์ส่งข่าวกลับมาข้ายังยกย่องในคุณธรรมอันสูงส่งของประมุขสำนักเซี่ย แม้แต่น้องภรรยายังใส่ใจถึงเพียงนี้ เสาะหาอยู่นานนับสิบปี”
เหอซีจินเอ่ย “ซะ…ซะ…เซี่ย…”
เขาเอ่ยวาจาเปลืองแรงโดยแท้ จางซูจิ่วจึงได้แต่พูดแทน “เซี่ยหลิงปี้เล่า บัดนี้ในความฝันประหลาดทั้งสองครั้ง หัวลูกศรล้วนชี้ไปที่เขา! หรือประมุขสำนักเซี่ยไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย”
อู่จื่อโฉ่วได้แต่เอ่ยด้วยความหวังดี “ประมุขสำนักเซี่ย เรื่องมาถึงบัดนี้ ท่านยังจะปกป้องเขาอีกหรือ”
ทว่าเซี่ยหงเฉินกลับเอ่ยว่า “เดิมทีข้าคิดว่าอาหร่างถูกคนล่อลวง แต่วันนี้ข้าไปที่กรมซือเทียนและได้พบนาง”
“เอ่อ…” พอเขาพูดถึงกรมซือเทียนและหวงหร่าง พวกเหอซีจินก็ร้อนตัวขึ้นมาทันใด
เซี่ยหงเฉินพูดต่อ “ครั้งก่อนสำนักเซียนอวี้หูถูกบุกรุก ข้าตรวจดูร่องรอยโดยละเอียดแล้ว ทราบว่าเป็นฝีมือของพวกผู้อาวุโสเหอ ข้าอยากรู้ว่าผู้อาวุโสทั้งสามสืบทราบเบาะแสของอาหร่างได้อย่างไร”
คราวนี้น่าลำบากใจเสียแล้ว ทั้งสามคนมองหน้ากันไปมา สุดท้ายยังคงเป็นจางซูจิ่วที่เอ่ยปาก “เรื่องนี้เป็นการล่วงเกินแล้วจริงๆ แต่พวกข้าเองก็ฟังมาจากเจ้ากรมซือเทียน”
เวลานี้เหอซีจินไม่แย่งพูดอีก อู่จื่อโฉ่วจึงกล่าวต่อ “ตี้อีชิวเรียกพวกเราสามคนไป บอกว่าเซี่ยฮูหยินล่วงรู้ความลับที่บอกใครไม่ได้ของเซี่ยหลิงปี้ มิคาดคิดว่านางจะถูกเซี่ยหลิงปี้ทำร้ายและกักขังอยู่ในห้องลับของตำหนักหลัวฝูจริงๆ!”
“พวกข้าหารือกันแล้ว คิดว่ามิอาจปล่อยให้นางถูกทำร้ายโดยไร้เหตุผล จึงร่วมมือกับตี้อีชิวแฝงตัวเข้าไปในสำนักเซียนอวี้หู” จางซูจิ่วตรึกตรองครู่หนึ่งก่อนพูดอีก “จะว่าไปแล้วตี้อีชิวรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร กรมซือเทียนมีสายลับอยู่ในสำนักเซียนอวี้หูหรือ”