อู่จื่อโฉ่วตอบ “เกรงว่าคงมิใช่สายลับ คุณชายใหญ่เซี่ย เซี่ยหยวนซูของพวกท่าน ของประหลาดพิสดารมากมายในเรือนมีชิ้นใดบ้างที่มิได้มาจากกรมซือเทียน ตามความเห็นข้า เป็นสำนักของพวกท่านเองมากกว่าที่มีหนอนบ่อนไส้”
“มะ…มะ…มะ…มีเหตุผล!” เหอซีจินเห็นด้วย
เซี่ยหงเฉินพยักหน้าแล้วตอบว่า “พวกท่านกล่าวถูกต้อง เรื่องนี้ข้ายังต้องขอบคุณพวกท่านทั้งสาม จะว่าไปแล้วหากมิใช่ด้วยเหตุนี้ นางยังต้องอยู่ในห้องลับของตำหนักหลัวฝูอีกนานเพียงใดก็มิอาจล่วงรู้ได้” เขาหลุบตาลง เนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้นอีก “ระหว่างเดินทางกลับจากเมืองหลวง ข้าขบคิดซ้ำไปมาตลอดทางว่านี่คงเป็นความผิดของข้าเพียงคนเดียว”
เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เหอซีจิน จางซูจิ่ว และอู่จื่อโฉ่วก็เงียบงัน
หากจะพูดถึงการกล่าวโทษ อันที่จริงหลายปีมานี้เซี่ยหงเฉินเหน็ดเหนื่อยเพื่อสำนักเซียนไม่น้อย สำนักเซียนอวี้หูเองก็สร้างความดีความชอบต่อผู้คนไว้มากเช่นกัน
จางซูจิ่วเอ่ยว่า “ประมุขสำนักเซี่ยไม่จำเป็นต้องคิดเช่นนี้ เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้คือการลากตัวคนร้ายออกมา ไม่ว่าอย่างไรจะปล่อยให้เซี่ยฮูหยินถูกทำร้ายมิได้” กล่าวถึงตรงนี้เขาก็เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ดังนั้นประมุขสำนักเซี่ยจำเป็นต้องพิจารณาคดีของเซี่ยหลิงปี้อย่างเปิดเผย!”
คำว่า ‘พิจารณาคดีอย่างเปิดเผย’ แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้ร้ายแรงเพียงใด
ในสำนักเซียนหากผู้ใดกระทำความผิดร้ายแรงจะถูกพิจารณาตัดสินอย่างเปิดเผยต่อหน้าทุกคน
และนักโทษที่ถูกลงทัณฑ์ด้วยเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกทุกคนล้วนผ่านการพิจารณาคดีอย่างเปิดเผยมาแล้ว โดยมีสำนักเซียนเป็นผู้ร่วมกันตัดสินโทษ
…เดิมทีควรเป็นเช่นนี้
เซี่ยหงเฉินใคร่ครวญซ้ำไปมาก่อนตอบ “ข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่าง เพียงแต่ตอนนี้หลักฐานมีเพียงห้วงฝัน อาหร่างก็ไม่อาจออกหน้าเป็นพยานได้ จู่ๆ จะพิจารณาคดีอย่างเปิดเผยโดยไร้ซึ่งหลักฐาน…เหตุผลยังคงไม่เพียงพอ” เขาประสานมือให้ทั้งสามคน “ข้าผู้แซ่เซี่ยขอร้องผู้อาวุโสทั้งสาม ให้ข้าสืบความจริงให้กระจ่างก่อนค่อยตัดสินใจอีกครา”
เขามีฐานะเป็นถึงประมุขสำนักผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับเอ่ยคำพูดขอร้องออกมาเช่นนี้ นี่ทำให้เหอซีจิน จางซูจิ่ว และอู่จื่อโฉ่วรู้สึกประทับใจอย่างยิ่ง
หากกล่าวถึงความสามารถในการต่อสู้ของเซี่ยหงเฉินผู้นี้ เหอซีจิน จางซูจิ่ว และอู่จื่อโฉ่วล้วนไม่มีใครต่อกรกับเขาได้
หากเอ่ยถึงฐานะ เขาคือเซียนกระบี่อันดับหนึ่งของสำนักเซียนทั้งหมด
หากกล่าวถึงความเหนื่อยยากตลอดหลายปีมานี้ เขาก็ไม่ด้อยไปกว่าทั้งสามคนเช่นกัน
คนเช่นนี้เอ่ยคำพูดจริงใจเช่นนี้ ทำให้จางซูจิ่วรีบตอบว่า “ประมุขสำนักเซี่ยกล่าวเกินไปแล้ว พวกข้ามิกล้ารับ”
เซี่ยหงเฉินยังคงค้อมกายคารวะทั้งสามคนจนสุด ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังยอดเขาอั้นเหลย
เรือนร่างของเขาผึ่งผายเสมอมา แต่บัดนี้กลับเผยท่าทีอ่อนล้าออกมาเล็กน้อย
ยอดเขาอั้นเหลย ตำหนักหลัวฝู
เซี่ยหลิงปี้เข้าสู่ความฝันทั้งสองครั้ง สูญเสียพลังวัตรไปถึงหกส่วน นอกจากอาการชาที่เอวซึ่งเกิดจากความฝันครั้งแรกแล้ว บัดนี้ยังมีอาการปวดศีรษะเพิ่มขึ้นมา
ศิษย์ของยอดเขาไป่เฉ่าไม่อาจรักษาเขาได้ ศีรษะเขาไม่ได้มีบาดแผลที่ชัดเจน แต่เมื่อใดที่อาการปวดศีรษะกำเริบก็จะเจ็บปวดจนทนไม่ไหว
ในชั่วเวลาสั้นๆ ผู้อาวุโสที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมในสำนักเซียนในอดีตกลับตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ แม้กระทั่งชื่อเสียงก็สั่นคลอนทำท่าจะพังทลายลง