ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 67-68
ตำหนักหลัวฝู
บนเตียงคนป่วย ‘เซี่ยหลิงปี้’ นั่งขัดสมาธิ หลังชนผนังห้อง เส้นผมขาวโพลนแผ่สยายปิดบังใบหน้า
‘เซี่ยหงเฉิน’ ผลักประตูเข้ามา แต่เสียงนี้มิได้ทำให้ ‘เซี่ยหลิงปี้’ สนใจ เขาถึงขั้นไม่เงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำ ‘เซี่ยหงเฉิน’ ได้แต่หยิบยาลูกกลอนออกมาสองเม็ดแล้ววางลงตรงหน้าเขา
“ร่างกายนี้บาดเจ็บสาหัส เกรงว่าคงเหลือเวลาอีกไม่มาก แม้ยาลูกกลอนมิอาจรักษาโรคได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถต่อชีวิตได้” ยามเขาเอ่ยปากก็เป็นเสียงของเซี่ยหงเฉิน แต่สิ่งที่อยู่ภายในกลับเป็นดวงจิตของเซี่ยหลิงปี้
พอเห็นว่าคนที่นั่งพิงผนังห้องเป็นตัวเขาเอง เซี่ยหลิงปี้ก็รู้สึกว่าภาพนี้ช่างแปลกประหลาดโดยแท้
คนที่นั่งขัดสมาธิพิงผนังห้องลืมตาขึ้นในที่สุด เวลานี้เซี่ยหงเฉินน่าจะปวดศีรษะเหมือนกะโหลกจะแตก ความรู้สึกเช่นนั้นเซี่ยหลิงปี้เข้าใจดีที่สุด
ทว่าสีหน้าเซี่ยหงเฉินกลับนิ่งสงบมาก ดูไม่ออกว่ากำลังเจ็บปวดทรมาน
ยามที่เขาเอ่ยปาก เซี่ยหลิงปี้ก็ได้ยินเสียงของตนเอง อดมิได้ที่จะเหม่อลอยไปพักหนึ่ง
เซี่ยหงเฉินพูดช้าๆ “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดท่านอาจารย์ถึงฝึกคัมภีร์ปีศาจมารวิญญาณ แต่ตอนนี้ท่านได้ร่างกายของข้าไปแล้ว หวังว่าท่านอาจารย์จะขจัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมด ระงับกิเลสของตนเอง”
“หุบปาก!” เซี่ยหลิงปี้ตำหนิ “ขจัดความคิดฟุ้งซ่าน ระงับกิเลส จากนั้นก็มีสภาพเหมือนเจ้าในตอนนี้หรือ หงเฉิน เจ้ามีนิสัยใจอ่อนชอบเมตตา ต่อให้มีแก่นกระดูกล้ำเลิศไร้ผู้เทียบเทียม สุดท้ายก็ยากจะทำการใหญ่ให้สำเร็จได้!”
กล่าวจบเขาก็หันหลังทำท่าจะเดินออกไป เซี่ยหงเฉินที่อยู่ข้างหลังถอนหายใจเบาๆ ก่อนเอ่ยโน้มน้าวว่า “ท่านอาจารย์ได้ชีวิตใหม่แล้ว ควรหันหลังกลับโดยเร็ว”
เซี่ยหลิงปี้มีหรือจะรับฟังคำพูดของเขา
“หันหลังกลับหรือ” เขาหัวเราะหยัน ดวงตาฉายแววเวทนา “เจ้าไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ช่างน่าสงสารจริงๆ”
ข้าควรจะสังหารคนผู้นี้ให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว เซี่ยหลิงปี้คิด แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ลงมือ
หากสังหารเขาในตอนนี้ พวกฉิวไฉ่ลิ่งย่อมไม่พูดมากอีก ความลับของตนก็จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้อีก เซี่ยหลิงปี้เหลือบมองคนบนเตียงอีกครั้ง จิตสังหารผุดขึ้นเพียงชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็เลือนหายไป
เขาประหลาดใจในความใจอ่อนชั่วขณะของตน แต่ก็ทำได้เพียงหันหลังจากไป
กรมซือเทียน
ตี้อีชิวห่อร่างหวงหร่างจนอบอุ่น เขากำลังล้างหน้าให้นาง จู่ๆ ข้างนอกก็มีคนมารายงาน “เจ้ากรม ข้างนอกมีคนบอกว่าศิษย์คนโตของประมุขสำนักเซี่ยนามเนี่ยชิงหลันส่งของสิ่งนี้มาให้ขอรับ”
เหมียวอวิ๋นจือกำลังฝังเข็มให้หวงหร่าง พอได้ยินดังนั้นก็เอ่ยว่า “คงเป็นเซี่ยหงเฉินส่งตำราเกี่ยวกับเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกมาให้ เข็มนี้มาจากสำนักเซียนอวี้หู เขาย่อมรู้จักมันดียิ่งกว่าใคร”
ตี้อีชิวรับของสิ่งนั้นมาทันที พบว่าเป็นวัตถุวิเศษเก็บของชิ้นหนึ่ง
เขาเปิดวัตถุวิเศษออกดู ข้างในเป็นตำราเวทและคัมภีร์ต่างๆ จริงดังคาด
“รบกวนผู้อาวุโสแล้ว” ตี้อีชิวมอบของเหล่านี้ให้เหมียวอวิ๋นจือ แต่ไม่ทันระวังจึงมีกระดาษสองแผ่นร่วงลงมา
“นี่คือสิ่งใด” เหมียวอวิ๋นจือเก็บขึ้นมา เห็นกระดาษสองแผ่นนี้ แผ่นหนึ่งวาดยันต์คาถาไว้สองชุด แต่รูปลักษณ์ของยันต์แปลกประหลาดอย่างยิ่ง มิใช่ยันต์ที่พบเห็นได้บ่อยๆ แผ่นที่สองเป็นกระบวนท่ากระบี่และเคล็ดวิชาฝึกจิต
บนกระดาษทั้งสองแผ่นล้วนไม่มีคำอธิบายใดๆ
ตี้อีชิวพิจารณาดูอย่างละเอียด ทว่าเขาไม่ค่อยเข้าใจนัก จึงตบมันลงบนโต๊ะส่งเดช “มีหัวไม่มีท้าย จงใจเล่นอุบายกระมัง”
เหมียวอวิ๋นจือรู้ว่าสองคนนี้ไม่ถูกกันจึงกล่าวว่า “ในเมื่อเซี่ยหงเฉินส่งของเหล่านี้มาย่อมต้องมีเหตุผลแน่นอน เจ้ากรมควรจะให้ความสำคัญ”
เซี่ยหงเฉินมิใช่คนไร้แก่นสาร ใต้เท้าเจ้ากรมย่อมรู้อยู่แล้ว ภายนอกแม้เขาจะทำท่าดูแคลน แต่ยังคงคลี่กระดาษสองแผ่นนั้นออกแล้วศึกษาดูอย่างละเอียด นี่เป็นกระบวนท่ากระบี่และเคล็ดวิชาฝึกจิต เพียงแต่จู่ๆ เซี่ยหงเฉินส่งของสิ่งนี้มาชวนให้คนไม่เข้าใจจริงๆ
“ยันต์คาถานี้คือสิ่งใด” ใต้เท้าเจ้ากรมถือไว้ในมือ เขาดูไม่รู้เรื่องจึงได้แต่พลิกเปิดตำรา
สำนักเซียนอวี้หู
‘เซี่ยหงเฉิน’ นัดหมายฉิวไฉ่ลิ่งมาสนทนาอย่างลับๆ ที่ยอดเขาเตี่ยนชุ่ยอีกครั้ง อ้างว่าเป็นเรื่องการพิจารณาตัดสินคดีของเซี่ยหลิงปี้
ตอนฉิวไฉ่ลิ่งเข้าไปในตำหนักเยี่ยอวิ๋น สีหน้าเขาอึมครึม หากมิใช่ว่าที่ผ่านมาเขารู้สึกดีต่อเซี่ยหงเฉิน เกรงว่าวันนี้เขาคงไม่มา
แม้เหล่าผู้อาวุโสไม่ก้าวก่ายกิจในสำนัก แต่ก็เป็นกำลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนัก
ผู้อาวุโสที่เร้นกายจากใต้หล้าไม่ออกหน้าเหล่านี้ หากพบว่าคำพูดของตนใช้การไม่ได้ พวกเขาย่อมคิดหาวิธีทำให้มันยังใช้การได้ต่อไป
ตอนนี้ในเหล่าผู้อาวุโสมีคนเสนอว่า…ให้ยึดอำนาจประมุขสำนักไว้ชั่วคราว
แต่ถึงอย่างไรหลายปีมานี้เซี่ยหงเฉินก็ได้รับคำชื่นชมจากทุกคนมากทีเดียว และในบรรดาศิษย์รุ่นถัดไป เนี่ยชิงหลันก็ยังไม่มีความสามารถมากพอที่จะประคับประคองสำนักได้
ดังนั้นเมื่อ ‘เซี่ยหงเฉิน’ เชื้อเชิญอีกครั้ง ฉิวไฉ่ลิ่งยังคงมาตามนัด
ครั้งนี้ ‘เซี่ยหงเฉิน’ ดูอ่อนน้อมถ่อมตนมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
เขาลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสฉิว เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าเองก็เป็นเพราะรักใคร่ภรรยา เห็นกับตาว่านางถูกทรมานจึงโมโหไปชั่วขณะ หาได้มีเจตนาฝ่าฝืนคำสั่งของผู้อาวุโสทุกท่านไม่ ขอท่านโปรดอภัยด้วย”
เขาเอ่ยปากก็แสดงความนอบน้อม ทั้งยังอ้างเหตุผลว่า ‘รักภรรยา’ สีหน้าของฉิวไฉ่ลิ่งจึงดีขึ้นเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกแล้ว ต่อให้หวงหร่างถูกเซี่ยหลิงปี้ทำร้ายจริง ตอนนี้เรื่องราวก็มิอาจเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขได้อีก เซี่ยหลิงปี้ผู้นี้หากเขามีความผิดจริง ตรวจสอบให้กระจ่างภายในสำนักและลงทัณฑ์เขาเงียบๆ ก็ใช้ได้แล้ว ไยต้องดึงดันทำให้เรื่องนี้รู้กันไปทั่วด้วยเล่า” เขาพูดด้วยความหวังดี ทั้งหมดล้วนทำไปเพื่อสำนัก “เจ้าเป็นศิษย์สายตรงของเขา ส่วนเขาเป็นปรมาจารย์ของสำนักเซียนอวี้หู หากพวกเจ้าทั้งสองคนขัดแย้งกันขึ้นมาจะดูได้หรือ”
‘เซี่ยหงเฉิน’ อมยิ้ม รินชาถ้วยหนึ่งให้เขาแล้วเอ่ยขออภัย “ผู้อาวุโสฉิวกล่าวถูกต้อง เรื่องนี้เป็นข้าที่บุ่มบ่าม”
ฉิวไฉ่ลิ่งยื่นมือออกไปหมายจะรับถ้วยชาจากมือเขา ยังคงพูดว่า “หากเจ้าสำนึกแก้ไขได้ทันเวลา ข้าจะไปหารือกับบรรดาผู้อาวุโสอีกครั้ง เรื่องนี้…”
พอเขาเอ่ยถึงตรงนี้ ทันใดนั้น ‘เซี่ยหงเฉิน’ ก็ทำมือเป็นมุทรา จู่โจมมาที่เขาอย่างว่องไวปานสายฟ้า
ฉิวไฉ่ลิ่งตะลึงงัน เห็นเพียงหมอกดำกลุ่มหนึ่งพุ่งขึ้นมากะทันหัน เกิดเสียงดังสนั่น เขากระอักโลหิตออกมาคราหนึ่งทันที ก่อนจะตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น!
เซี่ยหงเฉินลอบจู่โจมเขา!
เขาเบิกตาโต เนิ่นนานก็ยังไม่อยากจะเชื่อ!
Comments
