บริเวณนี้เป็นทางเข้าเมืองหลวงชั้นใน
จริงดังคาด ตรงขอบฟ้ามีเงาดำสายหนึ่งใกล้เข้ามาทุกที เพียงชั่วพริบตาก็มาปรากฏตรงหน้า
เป็นเซี่ยหงเฉิน
เขาสวมอาภรณ์สีขาวทั่วร่าง เกี้ยวหยกครอบผม เดิมทีเป็นเซียนกระบี่แห่งยุคผู้บริสุทธิ์พ้นธุลี บัดนี้แววตากลับมีแต่ความโอหังบ้าบิ่น
พอเห็นตี้อีชิวและคนอื่นๆ แล้ว น้ำเสียงเขาก็เจือแววเยาะหยัน “แค่มดไม่กี่ตัวจะขวางข้าได้รึ”
ตี้อีชิวขมวดคิ้วพลางเอ่ยขึ้น “วันนี้ประมุขสำนักเซี่ยท่วงทียโสโอหัง วางท่าใหญ่โตเหลือหลาย จิตมารครอบงำหรือไร”
‘เซี่ยหงเฉิน’ เดินเข้าไปใกล้เขาช้าๆ ยิ้มอย่างดุดัน “ซือเวิ่นอวี๋ส่งพวกเจ้ามาตายหรือไร”
ตี้อีชิวรู้สึกคลางแคลงใจ การทำเช่นนี้ไม่เหมือนลักษณะในยามปกติของเซี่ยหงเฉินจริงๆ เขาไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ คนผู้นี้จึงคลุ้มคลั่ง จึงได้แต่เอ่ย
“ประมุขสำนักเซี่ยเดินทางมาเมืองหลวงวันนี้ด้วยเรื่องใดหรือ”
เวลานี้เองนอกเมืองชั้นใน บนสันหลังคามีคนผู้หนึ่งเท้าเปล่า ผมแผ่สยาย ทั่วร่างอาบโลหิต เดินทางมาถึงด้วยการใช้ยันต์เคลื่อนย้าย
“เขามิใช่เซี่ยหงเฉิน!” ผู้ที่มาตะโกนเสียงดัง “พวกท่านต้องระวังตัว!”
สิ้นเสียงของเขา ‘เซี่ยหงเฉิน’ ที่อยู่กลางอากาศก็ยกมือขึ้น ซัดฝ่ามือไปทางตี้อีชิวอย่างแผ่วเบา
แต่ใต้เท้าเจ้ากรมมีไหวพริบมาแต่ไหนแต่ไร เขาไม่เหมือนพวกฉิวไฉ่ลิ่ง แม้จะกำลังพูดคุย แต่ความระแวดระวังที่พึงมีกลับไม่น้อยลงสักนิด ฝ่ามือของ ‘เซี่ยหงเฉิน’ ที่อยู่กลางอากาศดูเหมือนไร้พลัง แต่เมื่อมาถึงตรงหน้ากลับแฝงพลังรุนแรง
ต้นไม้ใบหญ้ารอบด้านไม่ขยับ มีเพียงของวิเศษคุ้มกายของตี้อีชิวที่ส่งเสียงดังแล้วแตกกระจายทันที! แผ่นหินใต้ฝ่าเท้าเขาแหลกละเอียดเป็นผุยผงในชั่วพริบตา
…ฝ่ามือนี้หากเขาไม่ได้ระวังป้องกันไว้ก่อน ย่อมเพียงพอที่จะทำให้เขาตายคาที่ได้
แต่ทุกคนกลับรู้สึกว่าฝ่ามือนี้ดูเหมือนไม่มีพลังใดๆ
‘เซี่ยหงเฉิน’ ที่อยู่กลางอากาศก็อึ้งงันไปเช่นกัน เหมือนจะประหลาดใจกับผลลัพธ์ไม่น้อย
มีเพียงใต้เท้าเจ้ากรมที่หลุบตาลง จับจ้องเศษชิ้นส่วนโปร่งแสงประหนึ่งลูกแก้วแตกบนพื้น
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ปัดฝุ่นผงบนอาภรณ์เบาๆ ท่วงทีผ่อนคลายขณะหันไปเอ่ยกับพี่ห้าจ้าวเยี่ยนจือ “พี่ห้าพูดคุยกับเขาไปก่อน ข้าจะไปกำชับเรื่องเล็กน้อยแล้วจะรีบกลับมา”
จ้าวเยี่ยนจือแค่นเสียงเป็นการตอบรับ จากนั้นก็ก้าวออกไปยืนเบื้องหน้าทุกคน เอ่ยถามเสียงดัง “ที่ผ่านมาราชสำนักกับสำนักเซียนอวี้หูอยู่ร่วมกันอย่างสันติ วันนี้ประมุขสำนักเซี่ยท่าทีดุดัน ทั้งยังลงมืออย่างไร้ความปรานี เหตุผลอยู่ที่ใด”
แน่นอนว่าเขาพูดอะไรใต้เท้าเจ้ากรมมิได้ตั้งใจฟังให้ละเอียด เพียงก้าวเร็วๆ ไปตรงหน้าเหมียวอวิ๋นจือ หยิบถุงหอมใบหนึ่งออกมา ยื่นไปให้เหมียวอวิ๋นจือพลางพูดขึ้น
“วานผู้อาวุโสช่วยพาอาหร่างไปจากเมืองหลวงที”
เหมียวอวิ๋นจืออึ้งงันไป เนิ่นนานถึงได้เข้าใจนัยของคำพูดนี้
เขาร้องด่าอย่างขุ่นเคือง “อุตส่าห์เผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง เจ้ามาพูดจาเหลวไหลอะไรเช่นนี้”
ตี้อีชิวยิ้มพลางตอบ “แม้ข้าจะมีปณิธาน แต่จนใจที่เรี่ยวแรงมีจำกัด ในถุงหอมใบนี้เป็นอาวุธส่วนตัวที่ข้าหลอมสร้างเอาไว้หลายปี ที่มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ล้วนอยู่ในนี้ทั้งหมด บัดนี้เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยของข้าก็แล้วกัน ขอผู้อาวุโสโปรดทำตามคำไหว้วานของข้าด้วย”
กล่าวจบเขาก็เลื่อนสายตาลง ยื่นมือออกไปหมายจะสัมผัสหวงหร่าง แต่สุดท้ายก็เก็บมือกลับมา
“ไปเถิด” เขาดีดปลายนิ้วเบาๆ จากนั้นหันกายอย่างสง่างาม ใช้ท่วงทีที่หยิ่งทะนงที่สุดทิ้งคำพูดที่โง่เขลาที่สุดไว้ “ต่อให้ข้าไม่เก่งกาจเพียงใดก็ยังสามารถสกัดเขาไว้ได้พักหนึ่ง ช่วยให้ผู้อาวุโสหนีเอาชีวิตรอดไปได้”
ทางด้านหน้าจ้าวเยี่ยนจือเอ่ยเสียงดังกังวาน “ประมุขสำนักเซี่ยไม่เคยได้ยินหรือว่ามังกรกล้าแกร่งไม่อาจเอาชนะงูเจ้าถิ่น* ในเมื่อท่านเรียกขานตนเองว่าเซียนกระบี่อันดับหนึ่ง เช่นนั้นราชสำนักของข้าไม่มีคนแล้วหรือไร”
แววตาที่ ‘เซี่ยหงเฉิน’ มองเขาประหลาดเหลือเกิน จ้าวเยี่ยนจือไม่เข้าใจมาโดยตลอดว่าแววตานี้มีความหมายเช่นไร
จนกระทั่งกระบี่แห่งจิตของ ‘เซี่ยหงเฉิน’ ปรากฏในมือและฟาดฟันมาที่เขา
กระบี่นี้เงียบงันไร้เสียง แต่จ้าวเยี่ยนจือกลับรู้สึกเย็นไปทั้งร่าง ต่อจากนั้นศีรษะและไหล่ซ้ายของเขาก็หล่นลงกับพื้น แต่ส่วนอื่นๆ กลับยังคงยืนอยู่
ช่วงเวลาสุดท้ายในสมองเขามีเพียงประโยคเดียว…ตี้อีชิว ข้าจะสังหารสุนัขอย่างเจ้าให้ตายเสีย…