เคราะห์ดีที่หลี่ลู่ตามคนผู้นั้นไปแต่แรกแล้ว
คนผู้นั้นบาดเจ็บสาหัสตั้งแต่ตอนมาถึง กล่าวคำพูดประโยคนี้จบก็ร่วงตกจากสันหลังคา
หลี่ลู่ตามหาอยู่นาน ในที่สุดก็ลากตัวเขาขึ้นมาจากคูน้ำริมทางจนได้
“เจ้าเป็นใคร” หลี่ลู่ป้อนยาลูกกลอนวิเศษเม็ดหนึ่งให้ ถามอย่างร้อนใจ เห็นเพียงคนผู้นี้โลหิตท่วมร่าง ผมแผ่สยาย แยกแยะได้ไม่ง่ายจริงๆ
“ข้า…ข้า…คือ…” เมื่อคนผู้นั้นเปล่งเสียงได้ก็เอ่ยคำพูดที่สร้างความอกสั่นขวัญแขวนออกมา “ฉิวไฉ่ลิ่ง”
“ฉิวไฉ่ลิ่งหรือ” หลี่ลู่ตกตะลึง แต่เขารู้ว่าเวลามีค่า ตี้อีชิวเองก็ไม่อาจยื้อเวลาได้นานนัก เขาจึงถามอย่างร้อนใจ “เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”
ฉิวไฉ่ลิ่งพยายามลุกขึ้นนั่ง “เป็นเซี่ยหลิงปี้…เขาชิงร่างของประมุขสำนักเซี่ยหงเฉินไป ลอบฝึกคัมภีร์ปีศาจมารวิญญาณ ถึงขั้นดูดพลังวัตรของผู้อาวุโสหลายคนไปด้วย!”
หลี่ลู่รู้สึกว่าในสมองดังอึงอล เขาตวาดอย่างเดือดดาล “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีเล่า บรรดาผู้อาวุโสในสำนักเซียนอวี้หูของท่านตายไปกันหมดแล้วหรือ!”
ฉิวไฉ่ลิ่งหอบหายใจถี่กระชั้น “ข้าได้แจ้งผู้อาวุโสที่เหลือแล้ว พวกเขากำลังเตรียมพร้อมรับศึก จะรีบรุดมาทันที”
หากเป็นในยามปกติคนที่ประหนึ่งเทพเซียนอย่างฉิวไฉ่ลิ่งหาใช่คนที่คนระดับหลี่ลู่จะสามารถพบเจอได้ ทว่ายามนี้หลี่ลู่แทบอยากจะโยนเขากลับลงไปในคูน้ำอีกรอบ
“เจ้ากรมของพวกเราจะยื้อเวลาจอมมารผู้นี้ไว้ได้อย่างไร” เสียงของหลี่ลู่แทบจะผิดเพี้ยนไป “เขามาเมืองหลวงคิดจะทำอะไรกันแน่ สังหารแม่นางอาหร่างหรือ”
การคาดเดานี้ของเขาสมเหตุสมผลทีเดียว
ถึงอย่างไรในความฝันทั้งสองครั้งเซี่ยหลิงปี้ล้วนเสียเปรียบหวงหร่าง เขาจะเกลียดหวงหร่างก็ไม่แปลก
ฉิวไฉ่ลิ่งเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน “ไม่…ไม่รู้”
หลี่ลู่สิ้นหวัง “เช่นนั้นผู้อาวุโสคนอื่นๆ จะรุดมาถึงเมื่อใดกันแน่”
ฉิวไฉ่ลิ่งมิได้ตอบ
ความจริงแล้วผู้อาวุโสในสำนักเซียนอวี้หูเหล่านั้นไม่เคยออกหน้านานหลายปีแล้ว
บัดนี้จู่ๆ เซี่ยหลิงปี้อีกคนโผล่ออกมา พลังวัตรน่าตื่นตระหนกถึงเพียงนี้ ใครเล่าจะกล้าดูแคลน
สำหรับพวกเขาหากไม่รอบคอบระมัดระวัง มิใช่แค่เพลี่ยงพล้ำเสียชื่อ แต่ร่างกายย่อมมอดม้วยตบะสูญสิ้น ทุกคนย่อมต้องตระเตรียมของวิเศษและยันต์คาถาให้พร้อมก่อน
ยามนี้เซี่ยเซ่าชงร้อนใจแทบคลั่งอยู่แล้ว
ตอนนี้ประมุขสำนักคลุ้มคลั่ง บรรดาผู้อาวุโสบ้างได้รับบาดเจ็บ บ้างไปช่วยต่อสู้ เหลือเพียงเขาคนเดียวที่ทำอะไรไม่ถูก
ยังคงเป็นเซี่ยลี่ที่เสนอขึ้นว่า “ท่านอาจารย์อา ท่านอาจารย์จู่โจมผู้อาวุโส ทั้งยังบุกไปเมืองหลวง เรื่องนี้ไม่ถูกต้องจริงๆ พวกเราควรรายงานปรมาจารย์หรือไม่ ดูว่าท่านผู้เฒ่าทราบเรื่องนี้หรือไม่”
นี่เป็นหนทางสุดท้ายในยามที่หมดหนทางแล้ว
เซี่ยเซ่าชงมุ่งหน้าไปตำหนักหลัวฝูทันที
ตำหนักหลัวฝู
ยามนี้ผมยาวของ ‘เซี่ยหลิงปี้’ ขาวโพลนหมดแล้ว เขากึ่งเอนพิงหัวเตียง แค่ขยับตัวเล็กน้อยก็ดูสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงยิ่งนัก
เมื่อเห็นเซี่ยเซ่าชงกับเซี่ยลี่ เขาก็ถามขึ้น “เกิดเรื่องใดขึ้น”
เซี่ยเซ่าชงกับเซี่ยลี่สองคนต่างสนิทสนมกับเซี่ยหงเฉินมาก เวลานี้ทั้งสองต่างรู้สึกว่าน้ำเสียงนี้ช่างคุ้นเคยผิดปกติ เซี่ยลี่เอ่ยอย่างลังเล
“ท่านอาจารย์…ไม่รู้เป็นอะไรไป เขาบุกไปเมืองหลวงชั้นในกะทันหัน!”
‘เซี่ยหลิงปี้’ บนเตียงได้ยินดังนี้แล้วดูเหมือนไม่ตื่นตระหนกสักเท่าไร เขาถามอีกว่า “ท่านอาจารย์…บุกไปกรมซือเทียนหรือ เขาจะลงมือกับอาหร่างหรือ”
“ท่านอาจารย์หรือ” พวกเซี่ยเซ่าชงได้ยินคำเรียกขานนี้ต่างก็ทำหน้างุนงง “ใครกัน ทว่าประมุขสำนักมุ่งหน้าไปเมืองหลวงจริงๆ จากภาพที่เนตรทิพย์เก้าคดส่งกลับมา เขากำลังต่อสู้กับกรมซือเทียนอย่างดุเดือด”
‘เซี่ยหลิงปี้’ ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขากลับถอนหายใจ “เขาทำเช่นนี้จนได้”
เซี่ยเซ่าชงเอ่ยอย่างร้อนใจ “ปรมาจารย์ ประมุขสำนัก…ฝึกวิชามาร! ตี้อีชิวรับมือไม่ไหวแล้ว ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ยังรุดไปไม่ถึง เกรงว่ากรมซือเทียนจะมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา ท่านต้องคิดหาทางนะขอรับ!”
“ตี้อีชิว…รับมือไม่ไหวหรือ” ‘เซี่ยหลิงปี้’ ค่อยๆ เผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา