วันนี้เมืองหลวงหิมะตกหนักจนขาวโพลนไปทุกแห่งหน แม้เขาจะกางร่ม แต่ครึ่งไหล่ยังเต็มไปด้วยหิมะ
ทันใดนั้นก็มีคนวิ่งเหยาะๆ เข้ามา ครั้นเห็นตี้อีชิวก็รีบรายงาน “เจ้ากรม ฝ่าบาททรงมีรับสั่งเรียกตัวท่านเข้าวังทันทีขอรับ”
เข้าวังหรือ หวงหร่างตื่นตระหนกอยู่ในใจ
ตี้อีชิวกลับไม่รู้สึกอะไร ตอบว่า “กงกงรอสักครู่ ขอให้ข้าได้กลับไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
กงกงผู้นั้นเอ่ยว่า “เจ้ากรม ฝ่าบาททรงเรียกตัวอย่างเร่งด่วน ท่านควร…”
ตี้อีชิวมองเขา เอ่ยเสียงอ่อนโยน “อะไรกัน ฝูกงกงไม่สะดวกจะรอข้าหรือ”
ขันทีผู้นั้นได้สติกลับมาทันใด รีบค้อมกายกล่าวว่า “บ่าวผู้เฒ่าจะรอเจ้ากรมตรงนี้ขอรับ”
ตี้อีชิวตอบรับ เขาจัดปอยผมข้างจอนให้หวงหร่างพลางพูดว่า “เจ้ากลับห้องก่อนเถิด”
ก็ได้ หวงหร่างรู้ว่าเขาไม่สะดวกจะพาตนไปด้วย นางเองก็ไม่อยากไปพบซือเวิ่นอวี๋ผู้นั้น ดังนั้นจึงรับคำด้วยท่าทีนิ่งสงบ
ตี้อีชิวเข็นนางเข้าไปในห้องนอน ปลดชุดกระโปรงให้แล้วอุ้มนางไปนอนใต้ผ้าห่ม เขาจุดเทียนไขให้ด้วยความเอาใจใส่ อ่างไฟถูกยกมาวางใกล้กับเตียง จากนั้นก็ปิดประตูออกไป
หวงหร่างมองดูแผ่นหลังของเขา รู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้าง
…อยู่ร่วมกันเป็นเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน ดูเหมือนนางจะเริ่มพึ่งพาบุรุษผู้นี้เสียแล้ว ทว่าหากใคร่ครวญให้ดี นั่นเป็นเพราะนางไม่มีที่พึ่งพาอื่นอีกแล้ว
หวงหร่างได้แต่ทอดถอนใจ
วังหลวง เจดีย์หยวนหรง
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเร้นกายจากโลกภายนอกมาฝึกบำเพ็ญที่นี่
ฐานเจดีย์มีบันไดหยกแปดด้าน แต่ละด้านมีองครักษ์เฝ้าไว้ ตี้อีชิวก้าวขึ้นบันไดเข้าไปในเจดีย์ ภาพวาดบนผนังภายในเจดีย์แต่ละชั้นล้วนไม่เหมือนกัน มีภาพที่ซือเวิ่นอวี๋นำทัพทำสงคราม ทั้งยังมีภาพเซียนทั้งหลายหลอมยาลูกกลอน ท่องคัมภีร์ และเหินสู่สรวงสวรรค์
ตี้อีชิวเดินตรงขึ้นไปยังชั้นเก้า ในยามปกติซือเวิ่นอวี๋พักผ่อนที่นี่
เขาคุกเข่ารอการเรียกตัวนอกม่านลูกปัด ภายในเจดีย์ร้อนเกินไปสำหรับเขา รมจนเขาเหงื่อออก
ในม่านลูกปัด ซือเวิ่นอวี๋จุดกำยานในเตา ใช้มือโบกควันพลางพูดว่า “เข้ามาเถิด”
ตี้อีชิวจึงเดินเข้าไป ซือเวิ่นอวี๋หันมา ผมยาวของเขาแผ่สยาย เขามีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าซูบตอบ สวมชุดคลุมนักพรตสีขาวสลับดำ ท่วงทีกิริยาราวกับไม่แปดเปื้อนธุลีทางโลก มองเช่นนี้แล้วเขาเหมือนอายุเพียงสามสิบปีเท่านั้น มิได้ดูแก่ชรา ทว่าดวงตาของเขากลับขุ่นมัว แววตาหม่นหมองดั่งผ่านกาลเวลามายาวนาน
แม้กาลเวลาจะมิได้ช่วงชิงชีวิตของเขาไป แต่กลับทิ้งร่องรอยที่มิอาจลบเลือนได้ไว้บนร่างกาย
ตี้อีชิวคุกเข่าลงแล้วโขกศีรษะคารวะ “ฝ่าบาท”
ซือเวิ่นอวี๋ไม่ได้บอกให้เขาลุกขึ้น เพียงเอ่ยว่า “ได้ยินว่าเจ้าได้ของเล่นประณีตชิ้นใหม่มา ทะนุถนอมดั่งของล้ำค่า เหตุใดถึงไม่เอามาให้เราดูบ้างเล่า”
ตี้อีชิวชะงักเล็กน้อย แต่กลับมิได้แสดงออกทางสีหน้า เพียงตอบว่า “แค่ของเล่นเท่านั้น ไฉนเลยจะกล้านำมาโอ้อวดเบื้องพระพักตร์ ทำให้สายพระเนตรของพระองค์แปดเปื้อน”
ซือเวิ่นอวี๋หัวเราะเบาๆ “เจ้ายังคงตัดใจจากสตรีผู้นั้นมิได้ เจ้าเด็กคนนี้เป็นคนยึดติดมาตั้งแต่เล็ก”
หน้าผากตี้อีชิวจรดลงบนพื้น “กระหม่อมโง่เขลาพ่ะย่ะค่ะ”
“ของบางอย่างยามไม่ได้มาย่อมคะนึงหามิลืมเลือน แต่เมื่อได้มากุมไว้ในมือจริงๆ ย่อมไร้ค่าดั่งต้นหญ้า” ซือเวิ่นอวี๋มองดูกำยานในเตาที่กำลังเผาไหม้ “เรื่องยาลูกกลอนอายุวัฒนะเตรียมการไปถึงที่ใดแล้ว”
ตี้อีชิวตอบ “ทูลฝ่าบาท ยาลูกกลอนวิเศษใกล้สำเร็จแล้ว สามารถถวายได้ตามกำหนดเวลาพ่ะย่ะค่ะ”
ซือเวิ่นอวี๋ส่งเสียงตอบรับอย่างพึงพอใจยิ่ง แต่จู่ๆ กลับเอ่ยว่า “ช่วงนี้เจ้าห้าอยู่ในเจดีย์จนอุดอู้ เราจึงให้เขาไปหาเจ้า คิดว่าพวกเจ้าพี่น้องน่าจะพูดคุยความในใจกันได้บ้าง หากเจ้าได้พบเขาจงสนทนากับเขาให้ดี”