หวงหร่างสูดลมหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง จากนั้นผ่อนออกมาช้าๆ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโศกเศร้า เรื่องเร่งด่วนคือต้องค้นหาความจริงให้ได้ว่าเหตุใดตนถึงมาปรากฏตัวที่นี่อย่างแปลกประหลาด
ในความทรงจำของนาง หลังจากพูดคุยกับเซี่ยหงเฉินครั้งนี้แล้ว ปรมาจารย์สำนักเซียนอวี้หูเซี่ยหลิงปี้ก็จู่โจมกะทันหัน เขามิได้พูดอะไรทั้งนั้น เพียงใช้เข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกแทงเข้ามาในกะโหลกศีรษะของหวงหร่าง จากนั้นก็โยนนางเข้าไปในห้องลับที่ลึกที่สุดของยอดเขาอั้นเหลย
นับแต่นั้นมาหวงหร่างก็หายตัวไปจากโลกนี้เป็นเวลาสิบปี อีกทั้งไม่มีผู้ใดตามหานาง
ส่วนสหายเก่าในวันวานของนาง เนื่องจากนางแต่งเข้าสำนักเซียน ไปมาไม่สะดวก จึงค่อยๆ ขาดการติดต่อกันไป
สำหรับศิษย์ในสำนักเซียนอวี้หู แม้จะเคารพยกย่องนาง แต่ถ้าเซี่ยหงเฉินกับเซี่ยหลิงปี้ร่วมมือกันปิดบัง พวกเขาจะทำอะไรได้
พี่น้องของตนยิ่งมิต้องพูดถึง พวกเขาอยากให้นางตายไวๆ ด้วยซ้ำ บิดา…บิดาน่าจะถามถึง หลังจากนั้นเมื่อรู้ว่านางหายตัวไปก็จะทำตัวเป็นสิงโตอ้าปาก* กับเซี่ยหงเฉิน
…ไม่รู้ครั้งนี้เขาได้รับผลประโยชน์อะไรไป หวงหร่างขบคิดอย่างเสียดสี
นางเข้าไปในห้อง อยากเปลี่ยนชุดกระโปรงใหม่…เสื้อผ้าของนางช่างมากมายโดยแท้
นางมองดูอยู่ครู่หนึ่ง มีชุดสีทองอ่อนตัวหนึ่ง เป็นตัวโปรดของนางสมัยที่ยังไม่แต่งงาน ไม่รู้เพราะเหตุใดนางกลับคิดถึงมุมมองความงามของตี้อีชิวแห่งกรมซือเทียน มุมปากนางจึงกระตุกเล็กน้อย ชุดนี้แล้วกัน
นางถอดชุดที่สวมใส่อยู่ ทันใดนั้นของชิ้นหนึ่งก็ร่วงหล่นลงมาจากในแขนเสื้อ หวงหร่างก้มลงมอง เป็นเข็มใบชาที่เหมือนแกะสลักขึ้นจากน้ำแข็ง เข็มใบชานี้โปร่งใส ยามถืออยู่ในมือเหมือนจะละลาย ยิ่งขับเน้นให้มันดูเยียบเย็นและแหลมคมเป็นพิเศษ หวงหร่างกำเข็มใบชาไว้ในมือ แต่กลับไม่เห็นว่ามันมีท่าทีจะละลาย จู่ๆ…นางก็นึกถึงคำพูดของคนบนยอดเจดีย์ผู้นั้น…เมื่อน้ำแข็งละลายย่อมตื่นจากฝัน
จวงโจวฝันเป็นผีเสื้อ* หรือ
หวงหร่างเปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงตัวนี้ สีทองอ่อนอบอุ่นเฉิดฉันสง่าผ่าเผย ทำให้นางดูอ่อนโยนสุภาพดุจแสงอาทิตย์ เข็มใบชาพกพาไม่สะดวก นางจึงเสียบมันไว้กับมวยผมแทนปิ่น
เวลาล้ำค่านัก มิอาจใช้อย่างสูญเปล่าได้
หวงหร่างหากล่องใส่อาหารมาหนึ่งใบ จัดเรียงขนมที่ตนหยิบคว้าจนเละเทะเมื่อครู่ลงไปทีละชิ้น ถือโอกาสคว้ากาสุราบนโต๊ะใส่ลงไปด้วย
พอออกจากหอฉีลู่ สำนักเซียนอวี้หูก็เริ่มมีเสียงของศิษย์ในสำนักเดินไปมา พวกเขาเห็นหวงหร่างแล้วต่างค้อมกายคารวะอย่างนอบน้อม นางยิ้มน้อยๆ คารวะตอบ ต่อจากนั้นนางก็พบคนผู้หนึ่ง…เซี่ยจิ่วเอ๋อร์
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์เห็นนางแล้วคิ้วขมวดเล็กน้อย แต่ยังคงประสานมือทักทาย “มารดาบุญธรรม”
หวงหร่างเดินไปตรงหน้านางช้าๆ ยิ้มหยันในใจ ทว่ามือกลับยื่นออกไปลูบผมนางอย่างรักใคร่เมตตา
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์อยากหลบ แต่สะกดกลั้นไว้…บริเวณนี้มีผู้คนเดินผ่านไปมา เกรงว่าจะเป็นที่ครหาได้ ดังนั้นนางจึงได้แต่ฝืนยิ้ม
“เหตุใดวันนี้มารดาบุญธรรมถึงมีเวลาว่างออกมาได้เจ้าคะ เมื่อครู่เห็นบิดาบุญธรรมไปหา ข้ายังคิดว่ามารดาบุญธรรมจะต้องอยู่เป็นเพื่อนเขาแน่”
เทียบกับเซี่ยจิ่วเอ๋อร์แล้ว รอยยิ้มของหวงหร่างจริงใจกว่ามาก นางตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนสนิทสนม “เขามักจะยุ่งอยู่ตลอด เจ้าเองก็รู้”
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์ยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “ก็ถูก เช่นนั้นมารดาบุญธรรมตามสบายเถิด หากมีเรื่องใดสามารถเรียกจิ่วเอ๋อร์ได้”
หวงหร่างจงใจก่อกวนอีกฝ่าย นางลูบศีรษะเซี่ยจิ่วเอ๋อร์พลางพูดว่า “ดีจริง จิ่วเอ๋อร์ของข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว รู้ความแล้ว ในเมื่อจิ่วเอ๋อร์อยากช่วย เช่นนั้นก็เอาเสื้อผ้าในหอฉีลู่ไปซักให้ข้าแล้วกัน”
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์ตกตะลึงไปชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่านางคิดไม่ถึงว่าหวงหร่างจะเอ่ยข้อเรียกร้องเช่นนี้ออกมาจริงๆ แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเด็ก เก็บงำความคิดมิได้ นางนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบอย่างติดๆ ขัดๆ
“อ้อ…อ้อ เจ้าค่ะ”
หวงหร่างทำหน้าปลาบปลื้ม กำชับว่า “เด็กดี ชุดกระโปรงของข้ามีมากมาย หลายตัวถูกวางทิ้งไว้นาน ฝุ่นเกาะเต็มไปหมด ใจกตัญญูของเจ้าช่างล้ำค่า ข้าเองก็ไม่สะดวกจะขัดขวาง แต่เวลาซักต้องระวังสักหน่อย อย่าให้มือเป็นแผลเล่า”
สีหน้าของเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ดูน่าตื่นตาขึ้นมาทันใด นางรับคำอย่างไม่เต็มใจ ได้แต่มุ่งหน้าไปหอฉีลู่