หวงหร่างมองดูเงาหลังของนาง อดยิ้มจนตาหยีมิได้
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์เป็นบุตรบุญธรรมของนางกับเซี่ยหงเฉิน ในอดีตตอนหวงหร่างแต่งให้เซี่ยหงเฉินแล้วพบว่าเขาเฉยชากับนาง เพื่อกอบกู้ฐานะนางจึงเคยเสนอกับเซี่ยหงเฉินว่าอยากได้เด็กสักคน
แน่นอนว่าเซี่ยหงเฉินปฏิเสธ
…เซี่ยหงเฉินมักจะปฏิเสธข้อเรียกร้องของหวงหร่างเสมอจนนางชินชาแล้ว นางจึงลดข้อเรียกร้องลง
วันหนึ่งตอนนั่งดื่มสุรากับเซี่ยหงเฉินอย่างสบายอารมณ์ หวงหร่างจับจักจั่นทองได้ตัวหนึ่ง นางแบมือให้เขาดู
‘หงเฉิน ท่านดู จักจั่นทองตัวนี้งดงามทีเดียว พวกเราเองก็ไม่มีบุตร รับมันเป็นบุตรบุญธรรมเป็นอย่างไร’
แน่นอนว่าเพื่อเป็นเครื่องผูกมัดที่จะกระชับความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเซี่ยหงเฉินให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น อีกทั้งไม่มีผลเสียอะไร เซี่ยหงเฉินจึงยอมตกลงในที่สุด
หวงหร่างดีอกดีใจ กุมมือเซี่ยหงเฉินและตั้งชื่อจักจั่นทองตัวนี้ว่าจิ่วเอ๋อร์
ในฐานะบุตรบุญธรรมของเซี่ยหงเฉินกับหวงหร่าง เซี่ยจิ่วเอ๋อร์ถูกฟูมฟักด้วยยาลูกกลอนเซียนและโอสถทิพย์ ดังนั้นนางจึงเกิดปัญญาอย่างรวดเร็ว ครั้นหวงหร่างเห็นว่านางเป็นสตรี จากบุตรบุญธรรมก็กลายเป็นบุตรสาวบุญธรรม แรกเริ่มเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ใกล้ชิดสนิทสนมกับหวงหร่างยิ่ง แต่ภายหลังเด็กคนนี้เริ่มค้นพบว่ามารดาบุญธรรมก็มิได้ถูกบิดาบุญธรรมรักใคร่ตามใจถึงเพียงนั้น
ถึงขั้นที่ว่าเป็นเพราะนางสนิทสนมกับหวงหร่าง เซี่ยหงเฉินจึงพลอยเหินห่างเย็นชากับนางไปด้วย
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์อายุยังน้อย แต่เฉลียวฉลาดยิ่ง ด้วยเหตุนี้นางจึงตั้งใจฝึกบำเพ็ญ น้อยครั้งที่จะไปหอฉีลู่อีก มิหนำซ้ำตอนพบเจอหวงหร่างยังวางท่าสำรวมเย็นชา แล้วก็เป็นไปตามที่คิด เมื่อนางตีตัวออกหากจากหวงหร่าง เซี่ยหงเฉินกลับใส่ใจนางมากยิ่งขึ้น ทุกคนในสำนักเซียนอวี้หูก็ปฏิบัติต่อนางราวกับองค์หญิงน้อยปานนั้น
หวงหร่างขบคิดเรื่องเหล่านี้แล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ เด็กคนนี้อย่างไรก็ยังเด็กเกินไป ขาดความสุขุมหนักแน่น ทั้งยังเก็บงำความคิดในใจไม่อยู่
นางเพียงหิ้วกล่องใส่อาหารแล้วเดินลงจากเขาต่อ
จู่ๆ เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นข้างหลัง หวงหร่างชะงัก นางหันไปมองก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังลงจากเขาเช่นกัน เขาสวมชุดขุนนางสีม่วง เอวห้อยถุงมัจฉาทอง เท้าสวมรองเท้าขุนนาง เอวผึ่งผาย รูปร่างสูงโปร่ง
เป็นตี้อีชิว!
หวงหร่างเร่งฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว รอจนกระทั่งตนเองเดินเข้าไปตรงหน้าเขา ถึงได้หยุดนิ่ง
อันที่จริงนางกับคนตรงหน้าผู้นี้ไม่ค่อยมีความเกี่ยวข้องกันเท่าไร หากมิใช่ว่าได้อยู่ร่วมกับเขาไม่กี่วันในกรมซือเทียนก็ถึงขั้นกล่าวได้ว่านางลืมเรื่องราวของคนผู้นี้ไปจนหมดสิ้นนานแล้ว ดังนั้นตอนนี้เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าตี้อีชิว นางจึงไม่มีอะไรจะพูด
ตี้อีชิวหยุดฝีเท้า ชัดเจนว่าเขากำลังมองประเมินนาง ยามที่เขามองคนสายตาดูเฉียบคมยิ่ง ทำให้นางรู้สึกว่ากำลังถูกบีบคั้นสอบสวน
หวงหร่างยืนนิ่งอยู่กับที่ สุดท้ายได้แต่ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าเจ้ากรม เมื่อเร็วๆ นี้ข้าบ่มสุราขึ้นมาใหม่ วันนี้ได้พบใต้เท้าโดยบังเอิญ นับว่ามีวาสนาต่อกัน จึงอยากมอบสุราให้ใต้เท้าหนึ่งกา หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจ”
กล่าวจบก็เปิดฝากล่องใส่อาหารออกจริงๆ หยิบสุรากานั้นออกมาแล้วยื่นให้ตี้อีชิว
ตี้อีชิวใช้สายตาเยียบเย็นจับจ้องกาสุราในมือนาง ครู่หนึ่งจึงตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ข้ารังเกียจ!”
พูดจบก็ก้าวเท้าเดินเฉียดผ่านปลายนิ้วของนางไป
…สุนัขตัวนี้ช่างยโสโอหังยิ่งนัก…หวงหร่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
หากมิใช่เพราะเวลาของข้ามีค่า…ไม่ว่าอย่างไรข้าจะต้องจัดการท่านให้อยู่มือให้จงได้…
หวงหร่างมองดูเขาจากไปไกล เขาเดินไวปานสายลมพัด เพียงไม่นานก็หายลับไปจากสายตานาง แม้หวงหร่างจะไม่สบอารมณ์ แต่นางมิได้ถือสา อย่างไรเสียความทรงจำของนางที่มีต่อตี้อีชิวก็มีอยู่น้อยนิดเกินไป
สองสามวันนั้นในกรมซือเทียนเป็นเพียงความฝันหรือ หรือว่าเขาทำไปเพียงเพราะต้องการขุดคุ้ยความลับของเซี่ยหลิงปี้ หรือว่าเขายังติดใจเรื่องที่นางแต่งให้เซี่ยหงเฉิน หรือยิ่งไปกว่านั้นเขาชอบสตรีที่พูดไม่ได้ขยับไม่ได้
แต่ใครจะบอกได้เล่า
ตั้งแต่หวงซู่ผู้เป็นบิดา จนถึงบรรดาพี่น้องทั้งหลาย จากนั้นก็เป็นเซี่ยหงเฉิน สุดท้ายคือเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ ชั่วชีวิตของหวงหร่างไม่เคยพบเจอความจริงใจในโลกมนุษย์
แน่นอนว่านางย่อมไม่เชื่อว่าโลกมนุษย์มีสิ่งนี้อยู่ ผู้คนในโลกมนุษย์สับสนวุ่นวาย สิ่งที่ทำไปล้วนเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ หลังผ่านมรสุมมามากมาย ไฉนเลยยังจะมีความจริงใจเช่นตอนที่พบกันในวันแรก