แม้เขาจะเป็นพวกไม่ละเอียดอ่อน แต่ก็เข้าใจดีว่าถ้าเห็นร่างเปลือยของสตรีจะมีความรู้สึกเช่นไร…เขากลืนน้ำลาย ไม่รู้ว่าประโยคแรกที่เอ่ยปากจะออกหน้าแทนสุยอวี้ดีหรือไม่
“พี่ไจ้อู่ ข้านึกว่าท่านยังต้องถูกขังต่ออีกสามวันห้าวันถึงจะออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันได้อีกครั้งเสียอีก” สุยอวี้กล่าวยิ้มๆ ยกเก้าอี้ซูเป้ยมาให้เนี่ยยางยงนั่งลง เรือนผมยาวเปียกชื้นของนางบดบังดวงหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง แม้จะสวมชุดบุรุษ แต่ลักษณะของสตรีได้แสดงออกมาหมดเปลือก เห็นเขาไม่ตอบรับ นางก็เงยหน้าขึ้นมาเรียกยิ้มๆ
“พี่ไจ้อู่?”
“ถะ…ถุย! ใครบอกว่าข้ายังต้องถูกขังอีกสามวันห้าวัน เจ้าแช่งข้าให้น้อยหน่อย อย่านึกว่ามีท่านห้าให้ท้ายเจ้า เจ้าก็ไม่กลัวอะไรแล้ว” ฟางไจ้อู่ได้สติกลับมาก็เปิดปากด่านางทันที
นางเดินไปด้านหลังเนี่ยยางยง แลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา
ฟางไจ้อู่ถลึงมองนางอย่างดุร้าย “เจ้าตัวโง่เง่าเต่าตุ่น แน่จริงพวกเราก็ออกไปสู้กันสักยก อย่าไปหลบหลังท่านห้า” เมื่อครู่ตาลายไปกระมัง เขาหลงคิดจริงๆ ว่าเด็กสาวนางนี้…มีเสน่ห์ของสตรีขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว
“ถูกขังมาหนึ่งวัน ความมุทะลุของเจ้ากลับยังอยู่” เนี่ยยางยงเลิกคิ้ว นัยน์ตาดำปรากฏแววแปลกประหลาด “ควรต้องให้เจ้าไปขัดเกลาเสียหน่อย เจ้าว่าเปลี่ยนรูปแบบเป็นอย่างไรดี ไปรับเรือก็แล้วกัน”
“รับ…รับเรือ?” นี่เป็นการลงโทษ?
“พี่ห้าหมายถึงรับเรือสินค้าของสกุลเนี่ยที่มาส่งหนังสือทุกครั้ง?” สุยอวี้เอ่ยเดา นี่เป็นภารกิจแสนสบายสำหรับพี่ไจ้อู่ นับไม่ได้ว่าเป็นการลงโทษ
“ใช่แล้ว” รอยยิ้มเสแสร้งแต้มอยู่บนริมฝีปากเขา “ว่าอย่างไร เปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ถ้าไม่อยากเปลี่ยน ข้าจะขังเจ้าอีกสามวัน แล้วเจ้าก็ออกมาได้”
“ข้า…ข้าย่อมเลือกรับเรืออยู่แล้ว” ฟางไจ้อู่กุมหมัด รีบพูดด้วยความดีใจ “ขอบคุณการลงโทษของท่านห้า ขอรับรองว่าจะรับหนังสือกลับมาให้ครบทุกเล่มอย่างมิมีตกหล่นเลยขอรับ”
“พี่ห้าลงโทษเบาขนาดนี้จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่” ฝานสุยอวี้กระซิบพึมพำ
เกาะจิ้งจอกมีหินโสโครกจำนวนมาก เรือที่มิได้แล่นเข้าเกาะประจำตามปกติจะมีเรือนำร่องไปรับมา ที่เกาะจิ้งจอกมีทุกอย่าง เว้นก็แต่ไม่มีปัญญาผลิตหนังสือและกระดาษ ว่ากันว่าในบรรดาพี่น้องของพี่ห้ามีคนเปิดร้านหนังสือ ทุกเดือนจะส่งหนังสือออกใหม่มายังเกาะจิ้งจอก หลังส่งมาไม่ว่าใครก็ไม่ต้องอ่านได้ทั้งนั้น ยกเว้นนางคนเดียว พี่ห้าสั่งให้นางอ่านให้หมดทุกเล่มอย่างโหดร้ายทารุณ
“ดี เจ้าสัญญาเองนะ อย่าทำให้ข้าผิดหวังอีกเชียว” เนี่ยยางยงพูดแฝงความนัยจบก็เบนหัวลูกศรไปอีกทาง “สุยอวี้ การเดินทางไปฮุยโจวของเจ้าเล่า”
“อ้อ” สุยอวี้รีบก้าวมาข้างหน้า สายตามองไปที่โต๊ะ ก่อนจะงงงันไปเล็กน้อย บนโต๊ะกลมนอกจากป้านชาก็ไม่มีของอย่างอื่น นางเอาไปวางไว้ที่ไหนแล้ว หรือจะตกไปด้วยตอนที่พี่ห้าเตะฉากบังลมล้มเมื่อครู่นี้ นางก้มตัวมุดเข้าใต้โต๊ะ
“สุยอวี้ เจ้าหาอะไร”
“ข้า…”
“หาสมุดบันทึกของเจ้า?” เนี่ยยางยงแสร้งทำเป็นถามอย่างไม่เจตนา
พอฝานสุยอวี้ได้ยิน ศีรษะก็พลันโขกกับโต๊ะกลมดังโป๊ก นางเงยหน้าขึ้นด้วยความเจ็บปวด “พี่ห้า…สมุดอยู่ที่ท่าน?”
เขายิ้มแล้ว ยิ้มได้ชั่วร้ายยิ่ง ยิ้มได้ชวนให้คนไม่อยากเชื่อคำพูดเขา “เจ้าส่งให้ข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน หรือว่าเจ้าหมายถึงข้า ‘หยิบ’ ของของเจ้าไป”
“แต่พี่ห้าทราบนี่นาว่าข้ากำลังหาอะไร” เขาคิดจะเล่นสนุกกับนางอีกแล้วหรือ นางยอมไปรับเรือกับพี่ไจ้อู่ดีกว่าถูกเขาเอาแต่แกล้งเล่นจริงๆ
“ใครบ้างไม่รู้ว่าเจ้ากำลังหาอะไร” เขาหรี่ตาพลางลุกขึ้นยืน เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบใจอยู่บ้าง “ถ้าเจ้าตั้งใจจดจำ มีหรือจะต้องใช้สมุดมาช่วยบันทึก”
“ข้า…” ฝานสุยอวี้หน้าเห่อแดงน้อยๆ
เขาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
“ไม่ต้องพูดแล้ว ไม่ว่านานเพียงไรข้าก็ต้องการให้เจ้าเล่าเรื่องการเดินทางไปฮุยโจวออกมาปากเปล่าให้ได้ ไม่อนุญาตให้อ่านตามสมุด”
“พี่ห้า…” นางมองเขาเดินออกไปตาละห้อย
“จริงสิ” เขาพลันหันหน้ากลับมา มองความคาดหวังเกลื่อนใบหน้านาง “อีกเดี๋ยวเจ้าไปชงชามาด้วยตัวเอง ข้ายังดื่มชาที่คนอื่นชงไม่ชินจริงๆ” พูดจบเขาก็ลอยชายจากไป
“ไม่ต้องพูด สมุดของเจ้าถูกท่านห้าเอาไปแล้ว” ต่อให้เป็นคนทึ่มอย่างฟางไจ้อู่ก็ยังรู้ว่าท่านห้าแตะต้องสมุดเล่มนั้น เขาส่ายศีรษะ เหลือบมองนางแวบหนึ่งอย่างรู้สึกเป็นสุขบนทุกข์ผู้อื่นอยู่บ้าง “เจ้าจัดการตัวเองแล้วกัน น้องสาวสุยอวี้ ข้าแค่ต้องรับเรือเท่านั้น แค่ต้องรับเรือเอง ฮ่าๆๆๆ”
ไม่มีสมุด จุดจบของนางย่อมจะอนาถยิ่ง อนาถกว่าเขาเสียอีก
สมน้ำหน้า!
(ติดตามต่อได้ในเล่ม)