เถียนเฉวียนกับอิ่นผิงติดตามซย่าโหวโหย่วอี้ไปพักผ่อนที่ตำหนักลู่หมิง เซี่ยตันหยางและคนอื่นๆ จะหารือเรื่องพิธีขึ้นครองราชย์ของซย่าโหวโหย่วอี้ ส่วนซย่าโหวอวี๋ก็กลับตำหนักใน
ตู้ฮุ่ยพาขันทีและนางกำนัลส่วนหนึ่งมารอต้อนรับซย่าโหวอวี๋ที่นอกตำหนักเฟิ่งหยาง รอจนนางอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ จึงอดเอ่ยถามเสียงค่อยไม่ได้ “เรื่องในวันนี้ราบรื่นดีหรือไม่เพคะ”
อิ่นผิงออกจากเมืองหลวงไปกะทันหัน แล้วพาซย่าโหวโหย่วอี้มาปรากฏตัวที่ตำหนักทิงเจิ้ง หากบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับจ่างกงจู่ของพวกเขา ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนไม่เชื่อ!
เรื่องราวยุติลงแล้ว ซย่าโหวอวี๋ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังตู้ฮุ่ยอีก นางพูด “ทุกอย่างราบรื่นมาก!”
ตู้ฮุ่ยโล่งอก ก่อนจะปรนนิบัตินางพักผ่อน
ซย่าโหวอวี๋เหนื่อยมาก ทว่านางกลับไม่อยากพัก จึงสั่งให้ตู้ฮุ่ยเอารายชื่อคนที่ยินดีติดตามนางออกจากวังมาให้ พวกนางต้องรีบจัดการตำหนักเฟิ่งหยางให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วค่อยมอบให้คนของซย่าโหวโหย่วอี้
ตู้ฮุ่ยตัดสินใจติดตามซย่าโหวอวี๋ออกจากวัง นางเข้าวังมาตั้งแต่อายุเก้าขวบ บัดนี้อายุสามสิบหกแล้ว กว่าครึ่งของชีวิตอาศัยอยู่ในวัง บัดนี้ต้องจากไป ย่อมตัดใจไม่ได้แน่นอน นางมองข้าวของในตำหนักอย่างอาลัย ม่านหนาหลายชั้น ฉากกั้นที่วาดรูปต้นไม้แก่กับศาลารับลม โคมไฟชาววังแบบตั้งรูปข้ารับใช้หมอบคุกเข่าที่วางอยู่ตรงมุมห้อง ขอบตาก็แดงเรื่อขณะเอ่ยว่า “จ่างกงจู่จะไม่เอาอะไรไปเลยจริงๆ หรือ”
“ไม่เอาอะไรไปทั้งนั้น” ซย่าโหวอวี๋ย้ำอีกครั้ง “เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ข้า เสด็จแม่และอดีตฮ่องเต้เคยใช้ก็ให้เผาทิ้งไปให้หมด ภาชนะและเครื่องประดับนอกจากที่ต้องฝังพร้อมศพแล้ว ให้นำไปคืนที่คลังราชสำนักทั้งสิ้น” เรื่องทั้งหลายทั้งปวงในอดีต นางสมควรปล่อยวางถึงจะถูก
ตู้ฮุ่ยรับคำด้วยสีหน้าหม่นหมอง นำรายชื่อของข้ารับใช้ที่ยินดีออกจากวังมาให้ ซย่าโหวอวี๋รับรายชื่อไปดูอย่างละเอียด
ชาติก่อนนางไม่ได้ถามถึงเรื่องนี้ บางคนคิดว่าติดตามนางออกจากวังคงดีกว่า…ไม่มีระเบียบกฎเกณฑ์ในวัง ทั้งยังได้เป็นบ่าวหญิงระดับสูงในสกุลเซียวของต้าซือหม่า รอจนนางกับเซียวหวนทะเลาะกัน คนเหล่านั้นรู้สึกว่าการติดตามนางไปกลายเป็นไม่มีความมั่นคง จึงเลือกอยู่สกุลเซียวต่อ คนที่อยู่ต่อส่วนหนึ่งอาศัยว่าตนเองเคยอยู่ในวังปรนนิบัตินาง เหวินเซวียนฮองเฮาและซย่าโหวโหย่วเต้า จึงไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ของสกุลเซียว อาศัยชื่อสกุลเซียวกับชื่อเสียงของนางก่อเรื่องที่ข้างนอก ทำให้เซียวหวนปวดหัวอยู่พักหนึ่ง ทั้งยังทำชื่อเสียงนางเสื่อมเสีย
ชาตินี้นางไม่มีทางใช้คนเหล่านี้อีก ซย่าโหวอวี๋พยายามเทียบเคียงรายชื่อคนเหล่านี้กับผู้คนในความทรงจำ ลดทอนไปมา สุดท้ายจึงยืนยันรายชื่อและส่งคืนให้ตู้ฮุ่ย
เสร็จแล้วถึงได้รู้สึกว่าร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยถึงขีดสุดกำลังร่ำร้องการพักผ่อน นางหาวติดๆ กัน ไม่พักผ่อนไม่ได้แล้ว
ตู้ฮุ่ยยิ้มน้อยๆ ก่อนร้องเรียกอาเหลียงเข้ามาปรนนิบัติ “ท่านวางใจเถอะ สองวันนี้ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”
พวกนางจะย้ายออกไปในวันที่โลงศพของซย่าโหวโหย่วเต้าถูกย้ายไปที่วัดวั่นเฉิง ซึ่งอยู่ห่างจากวังเสี่ยนหยาง
มีตู้ฮุ่ยคอยจัดการ ซย่าโหวอวี๋ยังมีอะไรไม่สบายใจอีก นางหลับสนิทไปงีบหนึ่ง ตื่นมาก็เป็นเวลาจุดโคมแล้ว
อาเหลียงที่เฝ้าอยู่หน้าเตียงตลอดเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “จ่างกงจู่ หม่อมฉันให้คนต้มน้ำแกงผักฉุนไช่ ไว้ นึ่งขนมเปี๊ยะเจอีกเล็กน้อย ท่านกินสักหน่อยดีหรือไม่เพคะ”
ซย่าโหวโหย่วเต้าเสียชีวิต ซย่าโหวอวี๋ต้องไว้ทุกข์ อาหารที่ปกติกินวันละสี่มื้อจึงลดเหลือวันละสองมื้อ ไม่มีเนื้อปลาเนื้อแกะ ทั้งที่เป็นเช่นนี้แล้ว แต่บ่อยครั้งที่ซย่าโหวอวี๋ยังไม่อยากแม้แต่จะดื่มน้ำ พวกนางที่คอยรับใช้ข้างกายจึงพากันร้อนใจกันหมด แค่ซย่าโหวอวี๋ดื่มน้ำชาเพิ่มขึ้นสองคำ พวกนางก็ดีอกดีใจไปครึ่งวันแล้ว
บางทีอาจรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองควรทำล้วนทำไปแล้ว ยามนี้นับว่าหมดภาระในใจ อาเหลียงไม่พูดยังไม่เท่าไร พอพูดถึงของกินขึ้นมา ซย่าโหวอวี๋ก็รู้สึกหิวมาก
อาเหลียงยินดีปรีดายิ่ง รีบสั่งให้คนยกอาหารออกมา