น้ำแกงผักฉุนไช่สดใหม่และอร่อย ขนมเปี๊ยะเจเติมน้ำผึ้งเข้าไปด้วยให้สัมผัสที่อ่อนนุ่ม ทำให้ซย่าโหวอวี๋เจริญอาหารมาก นางดื่มน้ำแกงผักฉุนไช่หมดไปถ้วยหนึ่ง และกินขนมเปี๊ยะเจอีกชิ้น อาเหลียงกำลังจะโน้มน้าวซย่าโหวอวี๋ให้ดื่มนมหมักเพิ่มอีก เซียวหวนก็มาพอดี
เวลานี้? อาเหลียงลอบพิจารณาสีหน้าของซย่าโหวอวี๋อย่างอดไม่ได้
ซย่าโหวอวี๋กลับรู้สึกปกติมาก ระหว่างพวกเขาสามีภรรยาเกิดเรื่องขึ้นมากมาย เซียวหวนน่าจะต้องหาเวลาส่วนตัวมาพบนางอยู่แล้ว
ซย่าโหวอวี๋สั่งอาเหลียง “เชิญต้า…” ยังดีที่นางนึกขึ้นได้ก่อนที่คำว่า ‘ซือหม่า’ จะหลุดออกไป แล้วเปลี่ยนคำพูดเป็น “เชิญผู้บัญชาการไปดื่มชาที่ตำหนักข้าง” ตระกูลสูงศักดิ์ที่มาจากทางเหนือชอบดื่มนมหมัก แต่ตระกูลใหญ่ทางใต้กลับชอบดื่มชา
อาเหลียงรับคำแล้วออกไป
เซียวหวนยืนอยู่ในตำหนักข้างพิจารณาของประดับตกแต่งและภาชนะรอบด้านที่ถูกเก็บไปแล้วครึ่งหนึ่ง ดวงตาเขาฉายความเหม่อลอย เขาแค่จากเมืองเจี้ยนคังไปไม่กี่เดือนเท่านั้น ซย่าโหวอวี๋กลับเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ไม่! บางทีซย่าโหวอวี๋อาจไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เพียงแต่หลังจากซย่าโหวโหย่วเต้าป่วยตายไป สถานการณ์จึงเปลี่ยนไป ซย่าโหวอวี๋แค่เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาเท่านั้น ดูเหมือนเขาจะไม่เคยเข้าใจนางมาก่อน
เซียวหวนก้าวไปข้างหน้า นิ้วมือลูบจานกระเบื้องสีเขียวครามที่วางอยู่บนโต๊ะซึ่งไม่ทันได้ห่อเก็บ นั่นเป็นจานก้นลึกที่มีขาตั้งทำเป็นรูปนกสี่ตัว ขณะที่ความรู้สึกในใจเขาซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก เสียงใสกระจ่างของซย่าโหวอวี๋ก็ดังขึ้นข้างหู “นั่นเป็นของที่ช่างปั้นดินเผาที่ไร่ชานเมืองของข้าส่งมาเมื่อหลายวันก่อน ข้ารู้สึกว่าไม่เลวจึงตั้งใจนำกลับไปที่นั่นด้วย”
เจ้าไม่คิดจะกลับจวนสกุลเซียวหรือ
เซียวหวนเกือบโพล่งออกไปแล้ว ทว่าหลังจากนั้นเขาก็อดหัวเราะเสียงขื่นในใจไม่ได้
ซย่าโหวอวี๋ออกจากตำหนักทิงเจิ้งได้ไม่นาน ซย่าโหวโหย่วอี้ในชุดไว้ทุกข์สีขาวก็ปรากฏตัวที่โถงพิธีศพของซย่าโหวโหย่วเต้า จากคำพูดของซย่าโหวโหย่วอี้ ซย่าโหวโหย่วเต้าสวรรคตได้ไม่ถึงสองวัน ซย่าโหวอวี๋ก็ตั้งใจส่งคนไปแจ้งข่าวกับเขา ทั้งยังเชิญเขามาเมืองเจี้ยนคังเพื่อจุดธูปเซ่นไหว้ซย่าโหวโหย่วเต้า
หากบอกว่าการเป็นฮ่องเต้ของซย่าโหวโหย่วอี้ไม่ใช่แผนการของซย่าโหวอวี๋ เกรงว่าแม้แต่ผีก็คงไม่เชื่อ การที่ซย่าโหวอวี๋มีอุบายเช่นนี้ แปดถึงเก้าส่วนนางน่าจะรู้เจตนาของเขา
เขาไม่อยากขัดแย้งกับซย่าโหวอวี๋ อีกทั้งเวลานี้เขายังมิอาจขัดแย้งกับนาง ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสตอนที่หลูยวนกับเซี่ยตันหยาง ‘กำลังยุ่ง’ มาที่ตำหนักเฟิ่งหยาง
เห็นซย่าโหวอวี๋ถูกนางกำนัลกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมเดินเข้ามาอย่างช้าๆ มุมปากของเซียวหวนก็เม้มน้อยๆ
ทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด เขามาหานางทำไมนั้น นางน่าจะรู้แจ้งแก่ใจดี ทว่ายามที่มาพบเขานางกลับพาข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งติดตามมาด้วยเช่นนี้ เห็นชัดว่าไม่อยากพูดคุยกับเขาตามลำพัง
ทว่าต่อให้นางไม่ยินดีเพียงใด เขายังคงต้องหาหนทางคุยกับนางตามลำพังให้ได้…เมื่อครู่ตอนอยู่ในโถงพิธี หลูยวนเริ่มเรียกร้องขอเลื่อนยศให้ลูกหลานสกุลหลูบางส่วนอย่างเปิดเผยแล้ว แม้ฮ่องเต้องค์ใหม่จะมีสีหน้างุนงง และเซี่ยตันหยางโต้แย้งออกไปด้วยเหตุผล แต่ด้วยนิสัยของหลูยวนและอำนาจบารมีที่อีกฝ่ายมีอยู่ในราชสำนักตอนนี้แล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่กับเซี่ยตันหยางคงยื้อเวลาได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น
เขาต้องได้รับความช่วยเหลือจากซย่าโหวอวี๋และยืนอยู่ฝั่งเดียวกับนางก่อน เพราะไม่อาจปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เหมือนการแต่งตั้งซย่าโหวโหย่วอี้ขึ้นอีก เซียวหวนขบคิดอย่างรวดเร็ว
“จ่างกงจู่” เขาคารวะซย่าโหวอวี๋อย่างนอบน้อม พูดอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีจริงจังและจริงใจ “เรื่องหลางหยาอ๋องข้าทำไม่ถูก ข้าคิดว่าแทนที่จะให้แม่ทัพใหญ่ได้สร้างคุณความชอบนี้ มิสู้ให้หลางหยาอ๋องเป็นผู้รับไมตรี คิดไม่ถึงว่าจ่างกงจู่จะพอใจตงไห่อ๋อง เรื่องนี้เป็นเพราะข้าใจร้อนเกินไป เกรงว่าหากเกิดเรื่องขึ้นกะทันหัน การเปลี่ยนแปลงยากจะคาดเดา จะทำให้เสียโอกาสไป อันที่จริงข้าควรหารือกับจ่างกงจู่ก่อนถึงจะถูก”
อย่างนั้นหรือ…ซย่าโหวอวี๋ไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว
หากเซียวหวนแค่อยากลดทอนอำนาจในราชสำนักของหลูยวน น่าจะคิดหาวิธีแต่งตั้งซย่าโหวโหย่วอี้ถึงจะถูก เขาทำเช่นนี้ก็แค่ต้องการลักขื่อเปลี่ยนเสา หาผลประโยชน์จากเรื่องนี้เท่านั้น ความจริงชาติก่อนเขาก็ทำเช่นนี้ ทั้งยังประสบความสำเร็จมากด้วย ซย่าโหวอวี๋ในชาติที่แล้ว เวลานี้จะต้องโวยวายเซียวหวนยกใหญ่เป็นแน่ ทว่าซย่าโหวอวี๋ในตอนนี้กลับไม่อยากพูดกับเขามากไปกว่านี้แม้แต่คำเดียว