ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 1-3
บทที่ 1 งานเลี้ยงรับวสันต์คฤหาสน์อู่หลิง
ลมบูรพาเดือนสามธารวสันต์ ที่พานพบเพียงดอกท้อมิใช่คน
แต่ไหนแต่ไรฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงก็ล้วนแต่ฝนมากแดดน้อย ยากที่พระอาทิตย์จะปรากฏให้ได้เห็นสักหลายๆ วัน โชคดีที่ฝนที่ตกลงมาล้วนแต่บางเบา เป็นก็แค่เพียงละอองฝนเล็กๆ ไม่ต่างอันใดกับเข็มเงินเล็กละเอียด ประสมประเสอยู่กับหมอกบางเหนือผิวน้ำนอกเมือง ปกคลุมต้นหยาง ต้นหลิวข้างทาง ดอกท้อนอกเรือน ขนอ่อนนุ่มบนกิ่งหลิวลอยละล่องกระจัดกระจายอยู่ทั่วเมือง
วันที่สามเดือนสามตรงกับเทศกาลซั่งซื่อ* พอดี ท้องฟ้ายังคงปกคลุมไปด้วยเม็ดฝนเล็กละเอียดเหมือนเก่า จวนเจิ้นหย่วนโหวหรือคฤหาสน์อู่หลิงที่ตั้งอยู่ยังชานเมืองทิศตะวันตกนอกเมืองเซิ่งจิงกำลังจัดงานเลี้ยงรับวสันต์อย่างยิ่งใหญ่ บรรดาผู้คนที่มีหน้ามีตาในเมืองเซิ่งจิงล้วนแต่ได้รับการเชื้อเชิญ แขกเหรื่อในงานจึงมากมายนับไม่ถ้วน บรรยากาศคึกคักครึกครื้นยิ่ง
จะว่าไปคฤหาสน์อู่หลิงที่ได้ชื่อเช่นนี้ก็ด้วยเพราะกลางคฤหาสน์มีป่าท้อผืนใหญ่อยู่ผืนหนึ่ง ยามนี้กำลังออกดอกชูช่อบานสะพรั่ง ยามสายลมแผ่วเบารำเพยพัด ดอกท้อสีแดงก็พากันหล่นร่วงไม่ต่างอันใดกับสายฝน บนเส้นทางหินศิลาเขียวที่อยู่ทางด้านล่างล้วนเต็มไปด้วยกลีบดอกเล็กๆ น้อยๆ จำนวนมาก พวกมันถูกพัดม้วนไปตามลม คลุกเคล้าอยู่กับสายฝน ก่อนจะโรยรากลายเป็นดินเลน เป็นผงคลีส่งกลิ่นรัญจวนใต้ฝ่าเท้า
เพียงแต่ทัศนียภาพงดงามละมุนละไมเยี่ยงนี้ ในสายตาของเฉินจิ่นยามนี้มันกลับสิ้นสูญความงามเพริศแพร้วเฉกในภาพวาดหรือบทกวี ตรงกันข้ามกลับมีเพียงวาจาถากถางดูแคลนไร้คนแยแสใส่ใจ
สตรีนางหนึ่งเหม่อมองดูหมู่มวลบุปผาที่กำลังปลิดปลิวหล่นร่วงอยู่นอกหน้าต่างพวกนั้น ในใจล้วนมีแต่ความรู้สึกขมขื่น
ก่อนหน้านี้นางมีหน้ามีตาเพียงใด ทว่ายามนี้นางกลับตกอยู่ในฐานะยากลำบากยิ่งยวด
“ข้าขอบอกอีกครั้ง หยกประดับข้าไม่ได้เป็นคนเอาไป” นางขยับริมฝีปากเอ่ยวาจา น้ำเสียงเสียดหูด้วยอารมณ์โกรธขึ้ง
บรรยากาศรายรอบมีเพียงความเงียบสงัด
ไม่มีคนยินดีช่วยแก้ตัวแทนนาง แม้แต่คำอธิบายสักประโยคสองประโยคก็ยังไม่มี มีก็แต่เพียงเสียงเม็ดฝนกระทบชายคาไม่หยุดเท่านั้นที่คอยขับดุนความอ้างว้างให้ปรากฏชัด
ประตูเรือนรับรองที่อยู่ด้านตรงกันข้ามศาลาริมน้ำบานนั้นยามนี้ถูกปิดลงหมดสิ้น กั้นเสียงขับขานของเหล่านักแสดงบนเวทีไว้ บรรดาอิสตรีจากจวนต่างๆ ที่ควรนั่งชมการแสดงอยู่แต่เดิมยามนี้ต่างลุกออกจากที่นั่งแทบหมดสิ้น ห้อมล้อมเป็นวงอยู่กลางโถง เหลือพื้นที่ว่างตรงกลางประมาณจั้งกว่าไว้
เฉินจิ่นยืนอยู่กลางพื้นที่ว่าง สองตาแม้แดงก่ำ ทว่าใบหน้าดึงดันดื้อรั้นกลับเชิดสูง ไม่แยแสคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้าม
“โถๆๆ เฉินจิ่นเอ๋ยเฉินจิ่น เสียทีที่เป็นถึงคนของจวนกั๋วกงหยกประดับไม่หยกประดับอะไรกัน อย่าพูดให้ตลกไปหน่อยเลย” เซียงซานเซี่ยนจู่กัวย่วน หลังทอดกายนั่งตามสบายลงยังเก้าอี้ข้างโต๊ะกลมที่ตั้งอยู่อีกด้าน นางก็พาดแขนลงบนผ้าคลุมเก้าอี้ นิ้วที่ถูกทาเล็บไว้เคาะอยู่บนผ้าคลุมเก้าอี้เป็นระยะๆ ดวงตาคู่สวยหรี่ลงครึ่งหนึ่ง คิ้วเรียวโค้งเลิกขึ้นเล็กน้อย คางเชิดสูงประมาณหนึ่ง แลดูหยิ่งยโสราวกับควรเป็นเช่นนั้นอยู่แต่ไหนแต่ไร
เพราะมีฐานะเป็นบุตรีเพียงหนึ่งเดียวขององค์หญิงใหญ่หย่งหนิง ทำให้เพียงแปดขวบกัวย่วนก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเซี่ยนจู่แล้ว ยามนี้นางอายุสิบสี่ปีบริบูรณ์ รูปร่างหน้าตางดงามชวนตรึงตรา เซียวไทเฮาในรัชสมัยปัจจุบันก็ทรงเอ็นดูนางไม่ใช่น้อย เรียกได้ว่าเป็นคนโปรดอันดับหนึ่งในหมู่สตรีสูงศักดิ์แห่งราชวงศ์ต้าฉู่
บางทีอาจเพื่อแสดงถึงฐานะที่ไม่ธรรมดาของตนเอง วันนี้นางจึงสวมใส่อาภรณ์สีชมพูเข้มปักลายโบตั๋นด้วยไหมทองด้ายสี ชายกระโปรงกองยาวกรอมเท้าประหนึ่งย่ำอยู่เหนือเมฆแดง เกล้ามวยทรงชมเทพ มีปิ่นขนนก เส้นทองปักอยู่ทางด้านบนอันหนึ่ง มุกที่ประดับอยู่บนปิ่นนั้นมีขนาดประมาณนิ้วหัวแม่โป้ง มันปลาบเป็นเงา ขับดุนอยู่กับดวงตากลมโตสุกกระจ่างราวกับผลซิ่งริมฝีปากแดงระเรื่อประหนึ่งแต่งแต้มไว้ด้วยชาด แลดูเด่นชัดน่าเกรงขาม
“คุณหนูเฉิน อย่าหาว่าข้าไม่เตือน ที่เจ้าขโมยไปคือ ‘หยกมังกรชือหลงเก้าห่วง’ สมบัติล้ำค่าของวังหลวง เสด็จยายพระราชทานให้กับข้า แต่ยามนี้กลับถูกเจ้าทำแตกเป็นสองท่อน เช่นนี้แล้วจะให้ข้าไปทูลต่อพระองค์เช่นไร” กัวย่วนสีหน้าบึ้งตึง ปิ่นทองบนศีรษะขยับไหว อัญมณีส่องประกายระยิบระยับ แต่กลับมิอาจกลบสายตาเย็นเยียบคู่นั้นของนางได้
เรือนรับรองเงียบงันไร้สรรพเสียง ทว่าสีหน้าของทุกคนกลับแตกต่างกันออกไป
คฤหาสน์อู่หลิงปิดมานานหลายปี จนถึงยามนี้เจิ้นหย่วนโหวถึงเพิ่งยอมเปิดคฤหาสน์จัดงานเลี้ยงรับวสันต์ แต่ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องราวฉาวโฉ่ใหญ่โตเช่นนี้ได้
สตรีที่โดดเด่นที่สุดแห่งจวนเฉิงกั๋วกงกลับขโมยหยกประดับของเซียงซานเซี่ยนจู่ เรื่องนี้เกินกว่าที่ใครจะคาดคิดได้จริงๆ
แต่ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นคือบรรดาฮูหยินทั้งหลายรวมถึงองค์หญิงใหญ่หย่งหนิงต่างล้วนนั่งเรือวิจิตรไป ‘อู่หลิงหยวน’ ชมทะเลสาบกันก่อนหน้านี้แล้ว ที่อยู่ในเรือนรับรองต่างล้วนเป็นสตรีที่ยังมิได้ออกเรือน แม้แต่ผู้อาวุโสที่จะทำหน้าที่ควบคุมสถานการณ์สักคนก็ยังไม่มี
เรื่องนี้จะจบลงเช่นไรนั้น ยากที่ใครจะเดาได้แล้ว
สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปยังสตรีสูงศักดิ์อีกนางโดยไม่ได้นัดหมาย กู้หนาน
กู้หนานเป็นบุตรีของซื่อจื่อกู้ซ่าน อนาคตผู้สืบทอดตำแหน่งเจิ้นหย่วนโหวต่อจากผู้เป็นบิดา งานเลี้ยงครานี้ไม่ว่าเช่นไรนางก็ไม่อาจปฏิเสธฐานะผู้เป็นเจ้าบ้านได้ เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นนางย่อมต้องออกหน้าคลี่คลายสถานการณ์ ไม่อาจทำตัวเสมือนคนนอก
เพียงแต่กู้หนานในยามนี้กลับปั้นหน้าลำบากใจ ยืนฟั่นผ้าเช็ดหน้าอยู่ระหว่างเซียงซานเซี่ยนจู่กับเฉินจิ่น แม้นจะมีใจคิดจะเดินขึ้นหน้าไปไกล่เกลี่ย แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าตนเองไม่เหมาะจะเอ่ยปากอันใด
ด้านหนึ่งคือหลานสาวคนโตของจวนกั๋วกง อีกด้านคือบุตรีขององค์หญิงใหญ่ ไม่ว่าจะฝ่ายใดก็ล้วนแต่ไม่อาจล่วงเกินด้วยกันทั้งสิ้น หากพูดผิดไปเพียงประโยค ผู้คนในจวนเจิ้นหย่วนโหวทั้งหมดคงไม่แคล้วต้องถูกลากเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเป็นแน่ หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นจริง ไหนเลยจะเป็นเรื่องดีอันใดได้
“งานเลี้ยงเฉลิมฉลองดีๆ กลับถูกเจ้าทำลายป่นปี้เช่นนี้ นี่เจ้าไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือไร” กัวย่วนขยับกายเปลี่ยนท่านั่งด้วยท่าทีเรียบเฉย สีหน้ายังคงเย็นชาเหมือนเก่า
เฉินจิ่นเชิดหน้ามองไปที่นอกหน้าต่าง รู้สึกวิงเวียนตาลาย สองขาชาสิ้น เอวและแผ่นหลังที่เคยเหยียดตรงอยู่ตลอดยามนี้กลับราวกับถูกหินหนักพันชั่งกดทับ หนักอึ้งจนนางหายใจแทบไม่ออก
นางจะไปขโมยหยกมังกรชือหลงเก้าห่วงได้เช่นไร
นางสิ้นคิดเพียงนั้น?
นางเป็นถึงบุตรีของซื่อจื่อเฉิงกั๋วกง ว่าที่เฉิงกั๋วกงคนต่อไป มารดาแซ่สวี่มาจากตระกูลขุนนางชั้นผู้ใหญ่ มากด้วยคุณธรรมชื่อเสียงโด่งดัง ท่านตาใหญ่ของนางสวี่เซิ่นเป็นถึงรองเสนาบดีกรมพิธีการฝ่ายซ้าย ส่วนท่านตารองของนางสวี่โยวก็เป็นถึงบัณฑิตประจำสำนักราชเลขาธิการ ทั้งสองล้วนมีโอกาสที่จะได้เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่
ว่ากันด้วยฐานะชาติกำเนิด เฉินจิ่นเองก็นับว่ามีฐานะสูงส่งไม่ใช่น้อย ยิ่งเรื่องหน้าตาความสามารถ ในเมืองหลวงแห่งนี้นางเรียกได้ว่าโดดเด่นไม่แพ้ผู้ใด และไม่ได้ด้อยไปกว่าสตรีอย่างกัวย่วนด้วยซ้ำ
แล้วเหตุใดนางถึงต้องทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้นด้วย
“หยกมังกรชือหลงเก้าห่วงนั่นข้าไม่ได้เป็นคนเอาไป ข้าไม่ได้ทำก็คือไม่ได้ทำ” เฉินจิ่นควบคุมโทสะที่คุกรุ่นอยู่ในใจอย่างเต็มกำลัง ผิวหน้าขาวสล้างแดงก่ำผิดปกติ ใบหน้างดงามที่มีอยู่แต่เดิมเริ่มปรากฏริ้วรอยบิดเบี้ยวบูดบึ้งออกมาให้เห็น
นางนึกน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ในเวลาเดียวกันในใจก็รู้สึกหนาวสะท้าน
เรื่องนี้ไม่บังเอิญเกินไปหน่อยหรือไร
ไม่ว่าจะเวลาเกิดเหตุ พยานหลักฐานที่กัวย่วนนำมาแสดง หากพิจารณาไปตามเหตุและผล ข้อกล่าวหาของอีกฝ่ายล้วนไม่มีพิรุธอันใดแม้แต่น้อย
นอกจากปฏิเสธไม่ยอมรับแล้ว เฉินจิ่นก็ไม่มีทางออกอื่น
“เจ้าบอกว่าตนเองไม่ได้เป็นคนเอาไป แต่กลับมีคนเห็นเจ้าขโมย เห็นเจ้าขว้างมันลงพื้นกับตา เมื่อครู่เจ้าเองก็ได้ยินพยานบอกอยู่ทนโท่มิใช่หรือไร” กัวย่วนเอ่ยปากอย่างไม่เร่งร้อน แววตาที่มองดูเฉินจิ่นนั้นคมกริบไม่ต่างอะไรกับสายตาของนายพรานที่กำลังจับจ้องมองเหยื่อ
“สาวใช้นางนั้นกล่าววาจาเหลวไหล เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพูดจาปรักปรำใส่ร้ายผู้อื่น!” เฉินจิ่นสะบัดแขนเสื้อเต็มแรง ถลึงตาโมโหมองดูคนที่คุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะกลมนั่น
อีกฝ่ายเป็นสาวใช้สวมเสื้อกุ๊นขอบไม่มีแขนสีน้ำเงิน อายุราวๆ สิบกว่าปี นางก้มหน้าห่อไหล่ ท่าทางอ่อนแอยิ่งนัก
เมื่อครู่สาวใช้ผู้นี้ยืนกรานหนักแน่นว่าเห็นเฉินจิ่นขโมยหยก อีกทั้งยังบอกว่าสะกดรอยเดินตามนางไปห้องสุขา เห็นนางขว้างหยกประดับลงกับพื้น หากไม่ใช่เพราะมีสาวใช้เป็นพยาน กัวย่วนไหนเลยจะฮึกเหิมกล้าเปิดเผยเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคนเช่นนี้