ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 1-3
บทที่ 2 สาวใช้นามเถาจือ
กัวย่วนมองตามเฉินจิ่นไปที่สาวใช้นางนั้น คางเชิดขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ย “เจ้า…เจ้าชื่อว่ากระไร”
สาวใช้ตอบออกมาอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เรียนเซี่ยนจู่ ผู้น้อยชื่อเถาจือเจ้าค่ะ”
กัวย่วนส่งเสียง “อืม” ออกมาคำหนึ่งก่อนจะเอ่ยปากช้าๆ ว่า “เถาจือ คุณหนูเฉินผู้นี้บางทีอาจได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของเจ้าไม่ถนัด เอาล่ะ ลองเล่าเรื่องที่เจ้าเห็นให้พวกเราฟังอีกครั้งสิ ข้าเองก็จะได้ฟังดูด้วยว่าหน้าหลังมีอะไรไม่สอดคล้องกันหรือไม่”
ขณะกำลังพูดริมฝีปากของนางก็ยกขึ้นน้อยๆ อย่างอารมณ์ดี “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ รอบคอบสักหน่อยเป็นการดี จะได้ไม่มีคนครหาได้ว่าสกุลกัวของข้าปรักปรำคนดี”
“เจ้าค่ะเซี่ยนจู่” เถาจือเงยหน้าหวาดๆ นางกวาดตามองเฉินจิ่นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มหน้าลงอีกครั้งและเอ่ยว่า “เมื่อ…เมื่อไม่ถึงสองเค่อ* ก่อนหน้านี้ ผู้น้อยเห็นคุณหนูเฉิน…จงใจชนเซี่ยนจู่ พอเซี่ยนจู่เดินจากไปไกล ในมือนางก็มีของเพิ่มขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ที่ผู้น้อยเห็น มันเหมือนจะเป็นหยกชิ้นหนึ่ง หลังจากนั้นนางก็ถือหยกชิ้นนั้นเดินจากไป…”
“เจ้าพูดจาเหลวไหล!” เฉินจิ่นสะกดอารมณ์โกรธขึ้งไม่อยู่ นางพูดอย่างเดือดดาล “ข้าไปเอาหยกอะไรมาตั้งแต่เมื่อใด อีกอย่างข้าเองก็รู้สึกประหลาดใจมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ในเมื่อเจ้าเห็นข้าเอาหยกไปกับตา แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่เอ่ยปากเสียแต่แรก จะได้จับโจรได้คาหนังคาเขา”
“หึๆ คุณหนูเฉิน เจ้าจะร้อนใจไปไย” กัวย่วนพูดแทรกเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวพลางเลิกคิ้วเรียวโค้ง “จะดีจะชั่วอย่างไรเจ้าก็มีฐานะเป็นนาย จะไปโวยวายกับบ่าวไพร่เพื่อการใด หรือว่าสตรีในจวนกั๋วกงล้วนเป็นเยี่ยงนี้?”
เสียงหัวเราะคิกคักดังแว่วเข้าหู
แต่ไหนแต่ไรเฉินจิ่นก็เข้าใจว่าตนเองเป็นคนมีพรสวรรค์ หน้าตางดงามหมดจด หยิ่งทะนงไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา ทว่าในหมู่สตรีสูงศักดิ์กลับไม่มีสหายสักเท่าใดนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้คนที่อยากเห็นนางเสียหน้าย่อมมีอยู่ไม่ใช่น้อย
เฉินจิ่นยืดหลังตรง ใบหน้ากลับกลายเขียวคล้ำ วาจาหยามเหยียดของอีกฝ่ายทำนางอัปยศอดสูจนไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ใด
นางกัดริมฝีปากล่างเต็มแรง บังคับตนเองให้เงยหน้าจ้องตามองกัวย่วน น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยว่า “การอบรมสั่งสอนในจวนกั๋วกงของพวกเราไม่จำเป็นต้องรบกวนให้จวนองค์หญิงใหญ่สอนสั่ง ต่อให้เซียงซานเซี่ยนจู่มีชั้นยศ ก็ไม่อาจยุ่งเรื่องในบ้านของผู้อื่น”
วาจาแข็งขืนยิ่งนัก คงมีเพียงสตรีในจวนกั๋วกงเท่านั้นที่กล้าตีฝีปากทัดเทียมกับเซี่ยนจู่เช่นนี้
ดวงตาของกัวย่วนฉายแววโหดเหี้ยมอำมหิตขึ้นมาวูบหนึ่ง นางไม่ได้ต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย ทำเพียงมองดูเถาจือที่นิ่งหมอบอยู่ข้างเท้า พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้ายังไม่ได้สั่งให้เจ้าหยุด สุนัขรับใช้เช่นเจ้ากลับกล้าหยุดพูดตามใจชอบ? ยังไม่รีบพูดอีก!”
เฉินจิ่นสีหน้าเขียวคล้ำ เม้มริมฝีปากแน่น
กัวย่วนจงใจพูดจาตีวัวกระทบคราด หากเฉินจิ่นยังคงเอ่ยปากอีก นางมิเท่ากับกลายเป็น ‘สุนัขรับใช้’ ที่อีกฝ่ายพูดถึงหรือ
“เจ้าค่ะเซี่ยนจู่ ผู้น้อยจะพูดเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงของเถาจือไม่มั่นคง คล้ายกำลังหวาดกลัวอย่างหนัก นางกลืนน้ำลายลงคอคราวหนึ่งก่อนจะเอ่ยปากต่อ “ผู้น้อยถึงจะเห็นคุณหนูเฉินเอาหยกไป แต่ผู้น้อยเป็นเพียงบ่าวต่ำต้อย อีกทั้งยังกลัวจะมองผิดไป เลยไม่กล้าปริปากพูดอันใด”
น้ำเสียงของนางแม้จะสั่นสะท้าน ทว่าคำพูดที่กล่าวออกมาล้วนชัดถ้อยชัดคำ “ต่อมาพอเห็นคุณหนูเฉินออกไปจากเรือนรับรอง ผู้น้อยก็รู้สึกไม่วางใจจึงแอบสะกดรอยตามนางไป เห็นนางเข้าไปในห้องสุขา จะว่าไปก็แปลก ห้องสุขาในเวลานั้นว่างเปล่า บ่าวไพร่ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็ไม่รู้หายไปที่ใดหมด ผู้น้อยเพราะอยากรู้อยากเห็นจึงรวบรวมความกล้าเดินตามเข้าไป พอเลิกม่านออกดูก็เห็นในมือของคุณหนูเฉินถือหยกชิ้นหนึ่งอยู่จริงๆ เพราะอยู่ห่างกันไม่ไกล ผู้น้อยจึงเห็นรูปร่างของหยกชิ้นนั้นถนัดชัดแจ้ง มันคือหยกที่อยู่บนโต๊ะนั่น”
นิ้วที่สั่นระริกของนางชี้ไปที่โต๊ะกลม สิ่งที่วางอยู่ด้านบนคือหยกมังกรชือหลงเก้าห่วงที่หักเป็นสองท่อน
กัวย่วนส่งเสียง “อืม” อย่างพึงพอใจออกมาคำหนึ่งพลางส่งสัญญาณบอกให้เถาจือพูดต่อ
เถาจือยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผากก่อนจะกล่าวต่อ “ผู้น้อยเห็นคุณหนูเฉินปาหยกลงกับพื้นเต็มแรง หยกหักเป็นสองท่อนทันที หลังจากนั้นก็ใช้เท้าเหยียบขยี้มันไม่หยุด เหมือนจะพูดว่า ‘ใครใช้ให้เจ้าแต่งบทกวีได้ดีกว่าข้า ใครใช้ให้เจ้าช่วงชิงวิญญาณในงานชุมนุมกวีกับข้า’ อะไรทำนองนั้น ได้ยินเช่นนี้แล้วผู้น้อยก็นึกกลัว รีบวิ่งกลับมา”
“พรืด…” จู่ๆ กัวย่วนก็หลุดหัวเราะออกมาคราหนึ่ง ลักยิ้มลึกๆ ปรากฏขึ้นบนสองแก้ม แลดูน่ารักน่าใคร่ยิ่ง
นางยื่นเท้าเตะไปที่ตัวเถาจือเบาๆ คราหนึ่งก่อนจะยิ้มด่าอีกฝ่าย “เจ้ามันโง่งมยิ่งนัก นั่นเรียกช่วงชิงวิญญาณเสียที่ใดกัน เขาเรียกชิงปัญญาสามารถต่างหาก”
“อา…ใช่เจ้าค่ะๆ” เถาจือรีบพยักหน้ายิ้มประจบประแจง “เซี่ยนจู่มีความรู้ ผู้น้อยอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ไหนเลยจะรู้จักเข้าใจถ้อยคำชั้นสูงเช่นนั้น”
กัวย่วนได้ใจ ประคองถ้วยชาบนโต๊ะขึ้น สายตามองผ่านฝาถ้วยไปยังเฉินจิ่นพลางพูดด้วยรอยยิ้มหยัน “ในงานชุมนุมกวีเมื่อเดือนที่แล้วคุณหนูเฉินพ่ายแพ้แก่ข้า ดังนั้นจึงระบายโทสะเอากับหยกของข้า หึๆ คุณหนูเฉิน เจ้าช่างจิตใจคับแคบยิ่งนัก”
บรรยากาศในเรือนรับรองเงียบสงัดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์
เทศกาลกำเนิดบุปผาเมื่อครึ่งเดือนก่อน ฮูหยินของซิงจี้ป๋อได้จัดงานชุมนุมกวีขึ้น เฉินจิ่นกับกัวย่วนต่างเข้าร่วมงาน ผลก็คือกัวย่วนเป็นผู้ชนะ เฉินจิ่นพ่ายแพ้ให้อีกฝ่ายอย่างน่าเสียดาย
เพราะก่อนหน้านี้เถาจือไม่ได้เล่าละเอียดเช่นนี้ ทุกคนจึงไม่มีใครนึกถึงเรื่องนี้ ยามนี้พอได้ยินคำว่า ‘ชุมนุมกวี’ หลุดออกจากปากกัวย่วน หลายคนถึงกับแสดงสีหน้าเข้าอกเข้าใจออกมาทันที
หากบอกว่าสตรีจวนกั๋วกงขโมยเพราะละโมบในทรัพย์สิน คำพูดเช่นนี้เกรงว่าจะไม่น่าเชื่อถือเท่าใดนัก แต่หากบอกว่านางลงมือทำเรื่องเหลวไหลเพราะต้องการระบายโทสะ เช่นนั้นนี่ก็เป็นอีกเรื่องแล้ว สตรีที่ได้รับเมตตาจากสวรรค์เหล่านี้มีใครที่ใดบ้างที่ไม่ ‘งดงามยโส’ ต่อให้เป็นเรื่องที่เกินเลยกว่านี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีคนเคยทำมาก่อน
“พูดต่อไป หลังจากนั้นเล่า” กัวย่วนถามเถาจือต่อ น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจยิ่ง
เถาจือกลืนน้ำลายก่อนจะพูดต่อ “หลังจากผู้น้อยกลับมาได้ไม่นานก็ได้ยินเซี่ยนจู่บอกว่าทำหยกหาย คุณหนูรองบอกว่าพบหยกแตกเป็นสองเสี้ยวอยู่ในห้องสุขา ผู้น้อยรู้สึกว่าตนเองไม่อาจแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อไปได้อีก ผู้น้อย…ที่ผู้น้อยกล่าวมาล้วนเป็นความสัตย์”
“เหลวไหล!” เฉินจิ่นโมโหอกกระเพื่อม นางกัดฟันถลึงตามองเถาจือ “เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเจ้ากำลังใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น!”
เถาจือตกใจกลัวเนื้อตัวสั่นสะท้าน ร่างกายขดเข้าหากันเป็นก้อน
กัวย่วนวางถ้วยชาลงกับโต๊ะเต็มแรง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หยกมังกรชือหลงเก้าห่วงคุณหนูรองสกุลกู้พาคนออกค้นหา พยานหรือก็เป็นสาวใช้จวนเจิ้นหย่วนโหว ทั้งสองล้วนไม่ใช่คนของข้า หรือคุณหนูเฉินจะบอกว่าพวกเราพร้อมใจกันรังแกเจ้าอย่างนั้นหรือ เจ้ายืนกรานอยู่ตลอดว่าตนเองถูกปรักปรำ ได้ เช่นนั้นเจ้าก็หาพยานหลักฐานมาโต้แย้งข้า ข้ากัวย่วนจะรอเจ้าอยู่ที่นี่”
เฉินจิ่นยืนใบหน้าเขียวคล้ำ ฟันแทบกัดริมฝีปากฉีก ความรู้สึกโกรธขึ้งน้อยเนื้อต่ำใจอัดแน่นอยู่ในอกจนเจียนจะระเบิด
หากมีคนช่วยยืนยันว่านางอยู่ที่ใดทำอะไรอยู่ในเวลานั้นได้จริง นางไหนเลยจะถูกเซียงซานเซี่ยนจู่กัดไม่ปล่อยเช่นนี้ได้
เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางถูกปรักปรำ แต่ทุกสิ่งกลับประจวบเหมาะเสียจนไม่รู้จะแก้ต่างเช่นไร ใครเป็นคนขัดขานางจนนางไปชนเข้ากับเซียงซานเซี่ยนจู่นางเองก็บอกไม่ได้ ตอนที่นางปวดท้องกะทันหัน สาวใช้ที่ชื่อไฉ่เจวี้ยนก็ไม่อยู่ข้างกาย ทำให้นางต้องไปห้องสุขาเพียงลำพัง หนำซ้ำนางยังออกมาจากห้องสุขาที่พบหยกนั่นเป็นคนสุดท้ายอีก
นางติดกับชาวบ้านเข้าเต็มเปา
ที่น่าโมโหคือทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นหลุมพราง แต่นางกลับไม่อาจแก้ต่างให้กับตนเองได้