ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 1-3
บทที่ 3 คุณหนูสามสกุลเฉิน
“คราวนี้เจ้าคงพูดไม่ออกแล้วกระมัง” เสียงของกัวย่วนไม่ดังนัก ทว่าทุกถ้อยคำกลับมุดแทรกเข้าถึงรูหูของทุกคน
นางพูดพลางยกถ้วยชาขึ้นด้วยท่วงท่าสบายๆ นิ้วมือเรียวยาวราวกับต้นหอมไล้อยู่บนฝาถ้วยช้าๆ สิบนิ้วเรียวแหลม เล็บเคลือบโค่วตันสีแดงดั่งเลือดงดงามหยาดเยิ้ม “ไม่ว่าจะพยานหรือหลักฐานล้วนมีพร้อม คุณหนูเฉิน ไม่ว่าเจ้าจะเล่นลิ้นเช่นไรก็ไม่มีประโยชน์”
ขณะกำลังพูด ดวงตาของนางก็ฉายแววได้ใจอย่างเก็บงำไว้ไม่อยู่
ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างล่องเรือวิจิตรชมทะเลสาบกันหมดสิ้น ในนอกเรือนรับรองนี้คนที่มีฐานะสูงส่งที่สุดคือนางเซียงซานเซี่ยนจู่
ด้วยชั้นยศและฐานะ นางไม่เชื่อว่าจะกดหัวเฉินจิ่นไม่ได้
กัวย่วนมองต่ำ แววตาโหดเหี้ยมอำมหิตที่แฝงลึกอยู่ในดวงตานางยามนี้แปรเปลี่ยนเป็นหยามเหยียดดูแคลน
ไม่ว่าจวนกั๋วกงจะยิ่งใหญ่สักเพียงใด จวนองค์หญิงใหญ่ของพวกนางก็หาได้ต่ำต้อยกว่าไม่ ยิ่งว่ากันด้วยเรื่องสายสัมพันธ์กับฮ่องเต้ด้วยแล้ว จวนองค์หญิงใหญ่ก็ยิ่งเหนือกว่า ยามนี้นางแค่เล่นลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ชื่อเสียงของจวนกั๋วกงก็หล่นร่วงตกบันไดไปไม่รู้กี่ขั้นต่อกี่ขั้น
วันหน้ายามสตรีในจวนกั๋วกงออกมาร่วมงานเลี้ยงรับรอง แต่ละคนย่อมไม่แคล้วไร้สิ้นสง่าราศีเป็นแน่ แค่นึกก็สนุกยิ่งแล้ว
พอคิดได้เช่นนั้นแววตาดูแคลนที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ของนางก็จางหายไปจนสิ้น เหลือก็แต่ความรู้สึกลิงโลดได้ใจ รอยยิ้มงดงามปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ
เฉินจิ่นอดทนอดกลั้นจนหน้าแทบจะกลายเป็นสีม่วง ขณะกำลังอับจนหนทาง นางก็ส่งสายตาร้องขอความช่วยเหลือไปยังญาติผู้น้องของนางสองคน เฉินเซียงกับเฉินหาน
พวกนางล้วนแต่เป็นสตรีบ้านสาม ครั้งนี้ติดตามออกมาร่วมงานเลี้ยงรับวสันต์
“น้องรอง น้องสี่ พวกเจ้าไม่เห็นอะไรเลยอย่างนั้นหรือ” ใบหน้าของเฉินจิ่นแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกวาดหวัง
ได้ยินคำพูดเช่นนั้น คุณหนูรองเฉินเซียงกับคุณหนูสี่เฉินหานที่ขัดเขินจนหน้าแดงอยู่แต่เดิมก็พากันหูแดงขึ้นมาทันที
เฉินเซียงกัดริมฝีปาก พูดเสียงแผ่วว่า “พี่ใหญ่ พวกเรา…ล้วนแต่ดูการแสดงอยู่ที่ด้านหน้า ไม่เห็นอะไรแม้แต่น้อย”
ถึงนี่จะเป็นคำตอบที่เฉินจิ่นคาดเดาได้แต่แรก แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังอดหนาวสะท้านไปทั้งใจไม่ได้
บ้านสามกับบ้านใหญ่ไม่ว่าเช่นไรก็มิใช่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
กั๋วกงมีลูกหลานอยู่ด้วยกันสี่บ้าน บิดาของเฉินจิ่นนามเฉินซวิน ไม่เพียงเป็นบุตรชายคนโตหากยังเป็นบุตรในอุทรของภรรยาเอกซึ่งก็คือฮูหยินใหญ่ จึงมีฐานะเป็นซื่อจื่อจวนกั๋วกงคนปัจจุบัน ส่วนนายท่านรองเฉินเซ่านั้นเป็นบุตรที่เกิดจากอนุ หายตัวไปนานหลายปีแล้ว เป็นไม่พบคนตายไม่พบศพ นายท่านสามเฉินเหมี่ยนนั้นก็เกิดจากอนุเช่นกัน ส่วนนายท่านสี่เฉินลี่กลับเป็นบุตรที่เกิดจากฮูหยินใหญ่
ด้วยเพราะภรรยาเอกกับอนุมีความต่าง บ้านใหญ่กับบ้านสี่ย่อมมีสัมพันธ์ใกล้ชิด ส่วนบ้านรองเพราะไม่มีคนคอยค้ำชูเกื้อหนุน ดังนั้นหลายปีมานี้จึงมีสภาพราวกับไร้ตัวตน เหลือก็แต่บ้านสามที่ไม่อิงแอบแนบชิด ไม่ทำตัวสนิทสนมกับผู้ใด
เฉินเซียงกับเฉินหานไม่ได้หลบลี้หนีหน้าหากกลับยืนอยู่ข้างเฉินจิ่น นี่เป็นสิ่งที่พวกนางพอจะทำได้มากที่สุดแล้ว ทว่าคิดให้พวกนางออกปากช่วยเหลือนั้นไหนเลยจะเป็นไปได้
เฉินจิ่นรู้สึกสิ้นหวัง ได้แต่มองไปทางกู้หนาน
ด้วยฐานะเจ้าบ้าน กู้หนานเป็นเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่พอจะพูดอะไรได้
“เอ่อ…ข้าคิดว่า…เซี่ยนจู่อย่างไรก็…ระงับความโกรธกริ้วไว้ก่อนเถอะ” กู้หนานฝืนเอ่ยปาก รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้างดงามนั้นแข็งทื่ออยู่เล็กๆ “เรื่องนี้…ข้าว่า…รอให้องค์หญิงใหญ่กับฮูหยินใหญ่เฉินกลับมาก่อนแล้วค่อยตัดสินความกัน เอ่อ…พวกเราล้วนแต่อายุยังน้อย จัดการกันเองคงไม่เหมาะนัก”
องค์หญิงใหญ่เป็นพระมารดาของกัวย่วน ส่วนฮูหยินใหญ่เฉินเป็นมารดาของเฉินจิ่น ทั้งสองต่างได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากฮ่องเต้ ไม่ว่าจะว่ากันด้วยเรื่องอำนาจหรือชั้นยศ พวกนางทั้งสองต่างไม่มีใครสูงใครต่ำ ไม่มีใครกลัวใคร จวนเจิ้นหย่วนโหวของนางเป็นก็แค่ขุนนางลอยชายเท่านั้น ไหนเลยจะกล้ายื่นมือเข้าไปสอด กู้หนานได้แต่หวังว่าจะสามารถหลับหูหลับตาผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้โดยเร็ว
สีหน้าของกัวย่วนผ่อนคลายลงเล็กน้อย นางลดตัวยิ้มให้กับกู้หนาน “เห็นแก่หน้าเจ้า ข้าจะไม่ถือสาเอาเรื่องเอาราวก่อนชั่วคราว ไว้เสด็จแม่กลับมาแล้วค่อยว่ากันใหม่” พูดจบนางก็กวาดตามองไปทางเฉินจิ่นพลางยิ้มเย็นชา “ครานี้คุณหนูใหญ่เฉินคงได้โด่งดังใหญ่แล้ว”
เฉินจิ่นใบหน้าแดงก่ำ ทั้งโมโหทั้งอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ทว่านางทำได้เพียงฝืนพูดเสียงสั่น “อย่าว่าแต่องค์หญิงใหญ่เลย ต่อให้คนที่มามีอำนาจบารมียิ่งกว่า ข้าเฉินจิ่นก็ยังคงยืนกรานคำเดิม ข้าไม่ได้เอาไป ผู้ใดก็อย่าหมายใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกข้า”
ปึง!
กัวย่วนตบโต๊ะเต็มแรง ลุกขึ้นตวาดด้วยความโมโห “เจ้ากล้าหมิ่นพระเกียรติเสด็จแม่ข้าหรือ!”
ถ้วยชาบนโต๊ะดังเคร้งคร้าง ขับดุนอำนาจบนกายนางให้ยิ่งปรากฏชัด
เฉินจิ่นถลึงตามองอีกฝ่ายกลับอย่างไม่ยอมแพ้ “จวนกั๋วกงของพวกเราได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากฮ่องเต้ มีหรือต้องกลัวพวกเจ้าด้วย!”
ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียแล้ว นางยังจะต้องสนใจเรื่องมารยาท สงวนท่าที และระวังคำพูดอันใดอีก
เมื่อเห็นเรื่องราวกลับกลายไม่สู้ดีเช่นนั้น กู้หนานก็รีบยิ้มไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “พวกท่านทั้งสองใจเย็นๆ ก่อน อย่าได้ทำลายความสัมพันธ์ นั่งลงดื่มชา ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน” นางพูดพลางขยับขึ้นหน้ารินน้ำชาให้กัวย่วนก่อน หลังจากนั้นก็เรียกคนให้เอาเก้าอี้มาให้เฉินจิ่นนั่ง สายตาร้อนรนกวาดมองไปที่นอกฝูงชน
สาวใช้ที่ชื่อชิวฟางยืนอยู่ข้างประตูเรือนรับรอง พอเห็นกู้หนานมองมานางก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธ
กู้หนานลอบกัดฟันแน่น ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกบิดเป็นเกลียวไม่ต่างอะไรกับขนมหมาฮวา
นางส่งคนไปแจ้งผู้เป็นมารดาแล้ว เพียงแต่เรือวิจิตรลำนั้นออกจากฝั่งไปนานแล้ว คนส่งข่าวต้องพายเรือตามไป กว่าจะไปกว่าจะกลับมาอย่างไรก็ต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่ง
ยามนี้กัวย่วนนั่งกลับไปบนเก้าอี้แล้ว กำลังเชิดหน้ามองดูเฉินจิ่น อารมณ์เบิกบานเป็นพิเศษ ท่าทางไม่ต่างกับฮ่องเต้ผู้สูงส่งที่กำลังก้มมองดูขุนนางชาวประชาใต้ฝ่าเท้า “เป็นก็แค่หัวขโมยชั้นต่ำ แต่กลับทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้าข้า ไม่สำเหนียกเสียบ้างว่าตนเองเป็นตัวอะไร! เฮอะ บุตรีของกั๋วกงทำตัวเป็นหัวขโมยเช่นนี้ หน้าไม่อายจริงๆ!”
“นางมิใช่ขโมย” ทันทีที่เซียงซานเซี่ยนจู่พูดจบ ใครบางคนก็เอ่ยปากขึ้น
เรือนรับรองที่เงียบงันอยู่แต่เดิม จู่ๆ ก็ยิ่งทวีความเงียบสงัดมากขึ้นไปอีก
กัวย่วนเก็บสีหน้าไม่อยู่อีกต่อไป นางหันไปมองตามที่มาของเสียง
ดรุณีน้อยนางหนึ่งค่อยๆ เดินผ่านฝูงชนออกมา
อายุของนางราวๆ สิบสองสิบสามปี มวยผมถูกเกล้าเป็นห่วงสองห่วง มีปิ่นหยกประดับอยู่บนศีรษะ ท่อนบนสวมเสื้อสีแดงอมม่วง ท่อนล่างคือกระโปรงไหมสีขาว บนเอวผูกจิ่นปู้หยกมันแพะเนื้อดีไว้
การแต่งกายของนางแม้ไม่สูงล้ำแต่ก็ไม่ต่ำต้อย รูปร่างหน้าตาธรรมดาๆ ไม่เป็นที่สะดุดตา หากจะบอกว่าบนตัวนางมีอันใดพิเศษ เช่นนั้นก็คงมีคำว่า ‘สะอาดบริสุทธิ์’ เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
สะอาดบริสุทธิ์จนแทบจะเรียกได้ว่า ‘ผิดปกติ’
สัมผัสสะอาดบริสุทธิ์นี้ไม่ได้อยู่ที่สีผิวรูปร่างหน้าตา มิได้อยู่ที่การแต่งตัว หากอยู่ที่ลักษณะท่าทางของนาง ท่วงท่ารวมถึงการเคลื่อนไหวยามก้าวเดิน เสมือนหนึ่งธารน้ำไหลรินสู่บูรพา ใสกระจ่างไม่มีสะดุด
และด้วยเพราะท่วงทีสะอาดหมดจดเช่นนี้ ขนาดเดินมาหยุดอยู่ข้างเฉินจิ่นที่ถูกยกย่องให้เป็นโฉมสะคราญแล้ว ความงามของเฉินจิ่นก็ยังมิอาจข่มนางให้กลับกลายอ่อนด้อย แม้แต่สตรีงดงามเย้ายวนอย่างเซียงซานเซี่ยนจู่ก็ยังถูกความสะอาดบริสุทธิ์ราวสายน้ำใสกระจ่างนั้นชะล้างจนแลดูจืดจาง
“คิดว่าใครเสียอีก ที่แท้ก็คุณหนูสามสกุลเฉินนี่เอง” กัวย่วนมองไปยังคนที่มา สีหน้าไม่สบอารมณ์เมื่อครู่จางหาย สายตาหยามเหยียดดูแคลนปรากฏขึ้นอีกครั้ง “ไม่ทราบว่าคุณหนูสามคิดจะทำอะไร อย่าหาว่าข้าไม่เตือน พี่สาวของเจ้าเป็นหัวขโมย ยามนี้พยานหลักฐานพร้อมมูล อีกครู่ข้าจะมอบให้เหล่าผู้อาวุโสเป็นคนตัดสิน เด็กอย่างเจ้าถอยไปให้ไกลหน่อยดีกว่าจะได้ไม่ถูกคนอื่นสงสัยเอาด้วย มาร่วมเดินอยู่กลางน้ำขุ่นเช่นนี้ หรือว่าหัวสมองเจ้าใช้การไม่ได้เสียแล้ว?”
เสียงหัวร่อ ‘คิกคัก’ ดังขึ้นอีกครั้ง
เสียงหัวเราะเบิกบานใสกระจ่างราวกับบทเพลงของอิสตรีทั้งหลายประหนึ่งเพียงเพราะรู้สึกสนุกสนานล้วนๆ หาได้มีจิตอกุศลใดๆ ไม่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.