ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 10-12
บทที่ 10 จากไปพร้อมสายฝนพรำ
“เจ้าสาม เจ้าคิดจะทำอะไร” สวี่ซื่อถามขึ้นอีกครั้ง สีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก
องค์หญิงใหญ่กวาดสายพระเนตรมองเฉินอิ๋งคราหนึ่ง พระขนงงามที่โก่งสูงอยู่เล็กน้อยคู่นั้นขมวดเข้าหากัน บริเวณหว่างพระขนงคล้ายมีคนแต้มหมึกไว้สองกลุ่ม
ทรงสะบัดแขนเสื้อพลางรับสั่งน้ำเสียงเฉื่อยเนือย “เด็กผู้นี้ เหตุใดต้องมากพิธีด้วย เรื่องก็ผ่านไปแล้ว ข้าไม่ถือสาเอาความเจ้า”
“หม่อมฉันมิได้กระทำผิดอันใด ไม่จำเป็นต้องให้พระองค์อภัยโทษให้เพคะ” เฉินอิ๋งตอบอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
ท่าทางแข็งขืนอย่างไม่เคยมีผู้ใดกล้าทำมาก่อน
สวี่ซื่อหน้าเปลี่ยนสีขึ้นมาทันที ขณะกำลังจะเอ่ยปาก เฉินอิ๋งก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน น้ำเสียงกระจ่างชัดเป็นพิเศษ “เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เซียงซานเซี่ยนจู่เป็นผู้ก่อ ความผิดมีสามประการ หนึ่งไม่เคารพอาวุโส ทำลายข้าวของของอดีตฮ่องเต้ สองซื้อตัวคนให้กระทำการใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น กล่าวหาว่าพี่ใหญ่ของหม่อมฉันเป็นขโมย สามใช้อำนาจรังแกผู้คน ทำลายพระเกียรติของเหล่าราชนิกุลรวมถึงไทเฮา”
หลังกล่าวออกมารวดเดียวจบ นางก็ชี้ไปยังข้าวของที่อยู่บนโต๊ะ น้ำเสียงกลับกลายจริงจัง “ทั้งหมดนี้คือหลักฐานคำให้การเพคะ” หลังจากนั้นก็ชี้ไปยังประตูใหญ่เรือนรับรองที่อยู่ด้านหลัง “สาวใช้จวนเจิ้นหย่วนโหวเถาจือคือพยาน เมื่อครู่นางถูกสตรีสูงวัยสองคนนำตัวออกไป”
เรือนรับรองเงียบสงัดราวกับคนตายที่พูดไม่ได้ ทุกคนต่างสองตาเบิกโพลงปากอ้าค้าง
คุณหนูสามสกุลเฉินผู้นี้เสียสติไปแล้วใช่หรือไม่ ถึงกับกล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับองค์หญิงใหญ่เช่นนี้
หรือนางไม่กลัวถูกไทเฮาตำหนิเอา?
“หม่อมฉันพูดจบแล้ว ตอนนี้รู้สึกไม่ใคร่สบาย อยากกลับไปพักที่รถม้า หม่อมฉันทูลลาเพคะ” เฉินอิ๋งพูดขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย น้ำเสียงหนักแน่นสงบนิ่ง นางค้อมกายแสดงคารวะ ก่อนจะหันหลังเดินออกจากเรือนรับรองไป
องค์หญิงใหญ่สีพระพักตร์เขียวคล้ำ นางกำนัลที่อยู่ทางด้านหลังอ้าปากเตรียมตวาด
“หยางมามาตามออกไปดูหน่อย อย่าปล่อยให้เจ้าสามหลงทาง” สวี่ซื่อชิงเอ่ยปากขึ้นก่อน น้ำเสียงอ่อนละมุน ท่าทางสุภาพเยือกเย็น ดูไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่าคิดตัดหน้าชิงเอ่ยปาก
หลังพูดจบนางก็หันไปมององค์หญิงใหญ่ สีหน้ายังคงละมุนละม่อมเหมือนทุกครั้ง “เจ้าสามยังเป็นเด็ก ขออย่าได้ทรงถือสากับเด็กไม่รู้ประสีประสาเลยนะเพคะ”
นางถอนหายใจเบาๆ คล้ายนึกขึ้นได้ถึงเรื่องทุกข์ใจอะไรบางอย่างก่อนจะกล่าวต่อ “จะว่าไป หากสะใภ้รองมิได้ป่วย วันนี้นางต้องมาร่วมงานด้วยเป็นแน่ ยามนี้บ้านรองได้แต่ต้องพึ่งเจ้าสามดูแลจัดการ เด็กผู้นี้จะว่าไปนับว่าน่าสงสารยิ่งนัก”
สวี่ซื่อพูดพลางดึงผ้าเช็ดหน้าออกมากดที่หางตา คล้ายโศกาอาดูรยิ่ง
คำพูดของสวี่ซื่อนี้เรียกได้ว่าเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ขอเพียงองค์หญิงใหญ่ทรงตำหนิอันใดออกมาแม้เพียงน้อย นั่นก็เท่ากับว่าทรงกำลังรังแกเด็กน้อยน่าเวทนาที่ไม่เพียงขาดบิดา แม้แต่มารดาก็กำลังล้มป่วย
องค์หญิงใหญ่ทรงถือตนว่ามีฐานะสูงส่ง ไหนเลยจะยอมเป็นตัวตลกในสายตาผู้อื่น
ว่ากันด้วยเรื่องฐานะ เฉินอิ๋งย่อมมีโทษฐานล่วงเกินเบื้องสูง ทว่าหากว่ากันด้วยเรื่องอายุ องค์หญิงใหญ่อายุยังมากกว่ามารดาของเฉินอิ๋งอยู่หลายปี แล้วมีหรือจะบันดาลโทสะใส่ดรุณีน้อยนางหนึ่งต่อหน้าทุกคน
คำพูดเช่นนี้ของสวี่ซื่อนับว่าสมแล้วกับที่เป็นฮูหยินใหญ่ แข็งแกร่งอ่อนละมุน ไม่เพียงสามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้ หนำซ้ำยังไม่แสดงท่าทีอ่อนแอให้ได้เห็น
บรรยากาศในเรือนรับรองผ่อนคลายลง
กัวย่วนหน้าดำหน้าแดง โมโหอับอายแทบคลั่ง นางทำท่าจะลุกขึ้นหลายต่อหลายครั้ง แต่เพราะองค์หญิงใหญ่ทรงกดมือนางไว้แน่น หนำซ้ำยังส่งสายตาเฉียบขาดให้นางติดๆ กันหลายครั้งหลายหนจนนางมิอาจระเบิดโทสะ
เฉินอิ๋งในเพลานี้เดินออกมาอยู่ใต้ชายคาระเบียงทางเดินนานแล้ว สายตาของทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองตามนางไป ดูนางเอ้อระเหยมองหาร่มอยู่ใต้ชายคาระเบียงทางเดิน ปฏิเสธการปรนนิบัติของหยางมามากับสาวใช้เสื้อสีคราม ก่อนจะยกร่มขึ้นเดินออกไปอยู่ท่ามกลางสายฝนเล็กละเอียดที่โปรยปรายอยู่ทั่วแผ่นฟ้า
เรือนรับรองตกอยู่ท่ามกลางความเงียบงัน แม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังไม่ได้ยิน
ในเวลานั้นทุกคนต่างกำลังครุ่นคิดถึงปัญหาประการเดียวกัน
คุณหนูสามสกุลเฉินผู้นี้วิเศษวิโสมาจากที่ใดกัน
เหตุใดถึงกล้ากระตุกหนวดพยัคฆ์ขององค์หญิงใหญ่ หนำซ้ำยังปลีกตัวจากไปได้อย่างปลอดภัยเช่นนั้น นี่เป็นเพราะนางใจกล้าหรือเพราะนางโชคดียิ่งกันแน่
ผู้คนจำนวนมากต่างกำลังครุ่นคิดอย่างเหม่อลอยไปชั่วขณะ…
งานเลี้ยงรับวสันต์คฤหาสน์อู่หลิงจบสิ้นลงแล้ว สีหน้าของตู้ซื่อ ฮูหยินของซื่อจื่อเจิ้นหย่วนโหวจนถึงสุดท้ายก็ยังคงตึงเครียดไม่คลาย
ที่สีหน้าย่ำแย่แน่นอนว่าไม่ใช่มีเพียงนางผู้เดียว องค์หญิงใหญ่สองแม่ลูกนั้นเรียกได้ว่าย่ำแย่ยิ่งกว่า
ทันทีที่นั่งลงบนรถม้า กัวย่วนก็ไม่พูดไม่จา ดึงปิ่นทองบนศีรษะลง ทิ่มแทงใส่หัวใส่หน้าของเส่าหงพลางร้องก่นด่า “เจ้ามันน่าตายนัก! แพศยาหน้าไม่อาย! คนชั้นต่ำงี่เง่า! เหตุใดเจ้าไม่ไปตายอยู่ในส้วมเสียให้รู้แล้วรู้รอด เหตุใดเจ้าไม่ไปตายอยู่ข้างนอก ข้าสั่งให้เจ้าหลบ! ข้าสั่งให้เจ้าหลบไป!”
เส่าหงเจ็บปวดเนื้อตัวสั่น ไม่กล้าหลบเลี่ยง ทำได้แต่เพียงคุกเข่าอยู่ที่นั่น น้ำตาเปื้อนเลือดอาบใบหน้าชวนสยดสยอง
“พอแล้วๆ เจ้าก็หยุดเถอะ” องค์หญิงใหญ่ทรงดึงกัวย่วนไว้ สีพระพักตร์อับจนยิ่ง “แม้แต่กับสาวใช้ก็ยังไม่เว้น เจ้านี่เหลือเกินจริงๆ”
ถึงจะทรงตำหนิแต่น้ำเสียงกลับยังคงอบอุ่นอ่อนโยน ทรงประคองมือของกัวย่วนขึ้นเป่า “เจ็บหรือไม่ ต้องให้แม่ช่วยนวดให้หรือเปล่า”
อารมณ์ขุ่นข้องที่อัดแน่นอยู่ภายในใจเป็นนานของกัวย่วนจู่ๆ ก็ระเบิดออกทันที นางเขวี้ยงปิ่นในมือทิ้ง ถลากอดองค์หญิงใหญ่ร่ำไห้เสียงดัง พูดสะอึกสะอื้นว่า “จวนเฉิงกั๋วกง…รังแกกันเกินไปแล้ว เสด็จแม่เหตุใดถึงไม่ทรงลงโทษพวกนาง…ให้คุกเข่าสำนึกผิด เหตุใดถึงปล่อยให้ลูกถูกพวกนางรังแกเช่นนี้”
นางกระทืบเท้าร่ำไห้ด้วยทั้งอับอายและโมโห “คุณหนูสามบัดซบ! ตัวบัดซบ! เสด็จแม่ ลูกต้องการให้นางชื่อเสียงป่นปี้! ลูกต้องการล้างแค้น!”
องค์หญิงใหญ่ทรงโอบกอดนางไว้ ลูบแผ่นหลังของผู้เป็นบุตรีอย่างเอ็นดูรักใคร่และรับสั่งอย่างทะนุถนอม “ได้ๆ เด็กดี เลิกร้องได้แล้ว ไว้แม่ค่อยเข้าวังกราบทูลเรื่องนี้ต่อเสด็จยายเอง รับรองจะต้องให้คุณหนูสามสกุลเฉินมาคุกเข่าอยู่แทบเท้าเจ้า ให้เจ้าได้จัดการตามแต่ใจ”
ได้ยินเช่นนั้นกัวย่วนก็หยุดร้องทันที นางเงยหน้างดงามเปื้อนน้ำตาราวดอกสาลี่พร่างพรมด้วยหยาดฝนจ้องมองดูองค์หญิงใหญ่ ดวงตาที่เอ่อคลอด้วยน้ำตาเบิกกว้างกะพริบปริบๆ คล้ายไม่นึกอยากเชื่อ “เสด็จแม่ทรงพูดจริง ไม่ใช่แค่คิดปลอบลูกใช่หรือไม่เพคะ”
“ดูเจ้าสิ หน้าตาเลอะเทอะมอมแมมหมดแล้ว แม่เคยโกหกเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน” องค์หญิงใหญ่ทรงจิ้มปลายจมูกผู้เป็นบุตรี สีพระพักตร์เอ็นดูรักใคร่ แต่แล้วจู่ๆ พระขนงงามของพระองค์ก็ลู่ต่ำ พระสุรเสียงเย็นเยียบ “เรื่องในวันนี้แม่ทำไม่ถูกที่ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับเจ้า แต่เจ้าวางใจ แม่ต้องให้คุณหนูสามสกุลเฉินยอมรับผิดต่อหน้าเจ้าให้ได้ ถึงตอนนั้นเจ้าคิดจะจัดการกับนางเช่นไรก็แล้วแต่เจ้า”
“เสด็จแม่ดีต่อลูกยิ่งนัก!” กัวย่วนเลิกร้องไห้ นางยิ้มและกอดองค์หญิงใหญ่ สีหน้าเบิกบานยิ่ง “เสด็จแม่ คราวนี้ท่านห้ามขวางลูกอีก ลูกจะให้คนถอดเสื้อคุณหนูสามออก โบยนางอย่างหนักกลางห้องโถงใหญ่ต่อหน้าทุกคน ดูซิว่าวันหน้านางจะใช้ชีวิตเยี่ยงไร”
“เอาเถอะๆ จะทำอะไรก็แล้วแต่เจ้า อยากทำเช่นไรก็เช่นนั้น” องค์หญิงใหญ่รับสั่งด้วยความเมตตารักใคร่ ก่อนจะทรงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยนางซับน้ำตา “เลิกร้องได้แล้ว ดูเจ้าสิ ร้องจนจะเป็นแมวลายอยู่แล้ว”
กัวย่วนค่อยๆ หยุดร้องไห้ พอเห็นเส่าหงยังคงคุกเข่าตัวตรงอยู่ตรงหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด นางก็ถ่มน้ำลายใส่อีกฝ่ายคราหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นชิงชัง “หรือต้องให้ข้าเอ่ยปากเชิญ เจ้าไปตายอยู่ที่ใด ยังไม่รีบเล่าความจริงออกมาอีก”