ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 10-12
บทที่ 12 อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าเหตุและผล
เฉินเซียงเล่าเรื่องยืดยาวเพราะนางเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด หนำซ้ำยังอยู่ในเรือนรับรองนั่นมาโดยตลอด อีกทั้งยังรู้เรื่องราวทั้งหมดดีกว่าเฉินอิ๋ง ดังนั้นจึงเล่าได้กระจ่างแจ้ง
หลังเล่าจบ สวี่ซื่อก็พูดน้ำเสียงอ่อนละมุน “นั่งลงเถอะ ลำบากเจ้าแล้ว ดื่มน้ำดับกระหายเสียก่อน”
ใบหน้างดงามของเฉินเซียงแดงระเรื่อขึ้นมาน้อยๆ นางค้อมกายนั่งกลับลงไป
สวี่ซื่อหันไปหาฮูหยินผู้เฒ่าสวี่อีกครั้ง เอ่ยปากอย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าดูเอาเถิด เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ ยังมีเรื่องที่เจ้าสองไม่เห็นอีก ตอนพวกเรากล่าวอำลา องค์หญิงใหญ่สีพระพักตร์บึ้งตึงตลอดเวลา พยักพระพักตร์เพียงครั้งก็เสด็จจากไปแล้ว หนำซ้ำยังจูงฮูหยินรองสกุลกู้พูดคุยเรื่องราวสารพัดสารพัน เชื่อว่าเรื่องราวในวันนี้พวกเราคงล่วงเกินองค์หญิงใหญ่ไม่ใช่น้อยแล้วเจ้าค่ะ”
นางพูดพลางถอนหายใจออกมายาวๆ คราหนึ่ง ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นกดซับลงบนหางตา จู่ๆ ก็สะอึกสะอื้น “ลูกจิ่นเป็นลูกที่ข้าให้กำเนิด ต้องทนรับความอยุติธรรมใหญ่หลวงเช่นนี้ข้ารู้สึกเจ็บปวดใจนัก ทว่าในเมื่อองค์หญิงใหญ่รับสั่งยอมรับผิดแล้ว ข้าย่อมไม่ควรต่อปากต่อคำคิดเอาชนะคะคานอันใดกับนางอีก อย่างไรก็ต้องคำนึงถึงส่วนรวมเอาไว้ก่อน ทว่ายามนี้ดูท่าองค์หญิงใหญ่จะกริ้วมาก เรื่องอื่นอันใดข้าไม่กลัว กลัวก็แต่จะทรงหาเรื่องสร้างความวุ่นวายจนเรื่องนี้ไปถึงพระเนตรพระกรรณของไทเฮา หากเป็นเช่นนั้นคงไม่ดีแน่”
นางคล้ายยิ่งพูดยิ่งเป็นกังวล จึงถอนหายใจยาวๆ ออกมาอีกครั้งก่อนจะเก็บผ้าเช็ดหน้า “ยามนี้ถึงใคร่ขอคำชี้แนะจากฮูหยินผู้เฒ่า เรื่องนี้พวกเราควรจัดการเช่นไรดีเจ้าคะ”
เฉินจิ่นนั่งไม่เป็นสุข คิดเอ่ยปากก็ทำได้แค่หยุดไว้ นางได้แต่คิดเท่านั้น ก็เหมือนตอนอยู่ในเรือนรับรองที่นางหมายจะเอ่ยปากนั่นปะไร
ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ปิดเปลือกตาลงน้อยๆ นิ่งเงียบอยู่เป็นนานคล้ายงีบหลับ
สวี่ซื่อกับฮูหยินผู้เฒ่าสวี่เดิมคืออาหลานกัน นางเข้าใจนิสัยของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี นางรู้ดีว่าในเวลานี้ไม่เหมาะจะรบกวน จึงทำเพียงนั่งจิบชาเงียบๆ
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ก็ขยับกายน้อยๆ อยู่บนเก้าอี้ ปริปากพูดออกมาเนิบๆ “เจ้าสาม เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่”
เฉินอิ๋งลุกขึ้นยืน ค้อมกายคารวะอีกฝ่ายก่อนจะยืดตัวตรง “มีเจ้าค่ะท่านย่า”
สวี่ซื่อกวาดตามองนางด้วยสายตาเมินเฉยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้ากดซับลงที่มุมปาก
ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่รู้สึกประหลาดใจ คล้ายนึกไม่ถึงว่าเฉินอิ๋งมีอะไรต้องการจะพูด นางตะลึงไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า “ได้ เช่นนั้นเจ้าว่ามา”
เฉินอิ๋งค้อมกายแสดงคารวะอีกครั้ง พูดน้ำเสียงกระจ่างชัด “ท่านย่า ท่านป้าใหญ่พูดเหตุและผลกลับกันแล้ว”
สวี่ซื่อตะลึง ผ้าเช็ดหน้าค้างอยู่ห่างจากริมฝีปาก
เหตุใดจู่ๆ นางถึงยกเอาเรื่องเหตุและผลขึ้นมาพูด
หรือเฉินอิ๋งคิดว่าไม่ควรเอ่ยปากขอรับโทษจากฮูหยินผู้เฒ่า
ขอรับโทษมีอะไรเกี่ยวกับเหตุและผล
“เหตุและผลอะไรของเจ้า” สวี่ซื่อถาม หัวคิ้วขมวดเข้าหากันน้อยๆ
“เรียนท่านป้าใหญ่ ที่หลานพูดคือเหตุและผลของเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้” เฉินอิ๋งตอบน้ำเสียงสงบนิ่ง “พวกเราล่วงเกินองค์หญิงใหญ่ไม่ใช่ผล หากแต่เป็นเหตุ เพราะองค์หญิงใหญ่มีพระทัยหมายสร้างความลำบากใจให้กับจวนกั๋วกงอยู่แต่แรก ดังนั้นถึงได้เกิดเรื่องเซียงซานเซี่ยนจู่ใส่ไคล้พี่ใหญ่”
ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ที่เฝ้าปรือตามาโดยตลอดลืมตาขึ้นเป็นครั้งแรก แววตาราวกับอสนีบาตเย็นเยียบกวาดมองมาทางเฉินอิ๋ง
เฉินอิ๋งตระหนักรู้ได้ทันที นั่นไม่ใช่สายตาที่หญิงชราผู้หนึ่งพึงมี
คมกริบ วับวาว เฉียบขาด แฝงไว้ซึ่งพลังทะลุทะลวงรุนแรงประหนึ่งอสนีบาตฟาดใส่ร่าง ทำเอาคนหนาวสะท้านไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย
เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ทั้งสองต่างเบนสายตาไปทางอื่น
สายตาเย็นชาของฮูหยินผู้เฒ่าสวี่กับสายตาสงบนิ่งของเฉินอิ๋งราวกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ไม่โปรดปรานหลานสาวผู้นี้ยิ่ง ก็เหมือนกับเฉินอิ๋งที่ไม่ปลื้มท่านย่าของตนเองสักเท่าใด
อันที่จริงนับตั้งแต่เฉินอิ๋งจำความได้ นางก็ไม่อาจนึกชอบท่านย่าของตนเอง ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าสวี่นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเฉินอิ๋งนางก็รักใคร่เอ็นดูหลานสาวสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึกผู้นี้ไม่ลง
ทว่าในเวลานี้ ย่าหลานที่ต่างชังน้ำหน้าซึ่งกันและกันกลับประหลาดใจที่รับรู้ได้ถึงความสอดคล้องทางด้านความคิดอ่านบางอย่างของกันและกัน
มุมปากของเฉินอิ๋งยกขึ้นในองศาแปลกประหลาด ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่หลับตาลงอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะไม่อยากเห็นหลานสาวเจ้าของรอยยิ้มพิลึกพิลั่นนั่น หรือว่าต้องการใช้วิธีการนี้แสดงถึงความลึกล้ำของตนเองกันแน่
“เจ้าสาม คำพูดนี้ของเจ้าหมายความเช่นไร” สวี่ซื่อถามขึ้นอีกคราว หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นมากขึ้นทุกที ทำให้นางแลดูหน้านิ่วคิ้วขมวดมากขึ้นเรื่อยๆ
“หลานได้ยินว่ายามนี้ใกล้เลือกพระชายาเอกในองค์รัชทายาทแล้ว” เฉินอิ๋งไม่ได้ตอบคำถามของสวี่ซื่อตรงๆ หากกลับเปิดเรื่องใหม่ด้วยน้ำเสียงเฉื่อยเนือย
คำพูดนี้ทำสวี่ซื่อหน้าเปลี่ยนสีได้สำเร็จ เสียงของนางยกสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว “เจ้าว่าอะไรของเจ้า เรื่องคัดเลือกพระชายาเอกในองค์รัชทายาทเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย”
เฉินอิ๋งลอบถอนใจออกมาคราวหนึ่ง น้ำเสียงยังคงสงบนิ่งเหมือนเก่า “หลานเองก็ได้ยินคนพูดมาเช่นกัน องค์หญิงใหญ่หย่งหนิงหมายมั่นปั้นมือจะให้สตรีสกุลกัวได้เข้าวัง”
“เจ้าพูดว่า…สกุลกัว?” สวี่ซื่อไม่นึกอยากเชื่อ
องค์หญิงใหญ่หย่งหนิงอภิเษกกับกัวจุ่น บุตรชายคนโตของภรรยาเอกของซิงจี้ป๋อ เรื่องนี้ในเวลานั้นนับเป็น ‘เรื่องใหญ่’ เรื่องหนึ่ง หนึ่งก็ด้วยเพราะองค์หญิงใหญ่มีพระชนมายุยี่สิบสอง โตกว่ากัวจุ่นถึงสองปี เรียกได้ว่าออกเรือนตอน ‘สูงวัย’ สองเพราะกัวจุ่นเป็นพ่อม่ายเมียตายตอนอายุสิบเก้า อายุยี่สิบกลายเป็นราชบุตรเขย ตอนปลายปีที่อภิเษกองค์หญิงใหญ่ทรงให้การประสูติเซียงซานเซี่ยนจู่
ส่วนองค์หญิงใหญ่เหตุใดถึงยอมอภิเษกสมรสกับพ่อม่ายอย่างกัวจุ่น แค่ดูจากรูปร่างหน้าตาของเซียงซานเซี่ยนจู่ก็รู้ได้แล้ว
กัวจุ่นตอนวัยหนุ่มชัดว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลามีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในเมืองเซิ่งจิง ต่อให้ตอนนี้คนเข้าสู่วัยกลางคน แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงหล่อเหลางามสง่า องค์หญิงใหญ่ในยามนั้นตกหลุมรักอีกฝ่ายตั้งแต่แรกเห็น ยืนกรานว่านอกจากเขาแล้วไม่ขออภิเษกกับผู้ใดทั้งสิ้น สุดท้ายด้วยเพราะบุญพาวาสนาส่ง ทำให้สมดังใจปรารถนา
งานอภิเษกสมรสนี้ว่ากันว่าเซียวไทเฮากับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันพระราชทานให้
เพราะเซียวไทเฮาทรงมีองค์หญิงใหญ่หย่งหนิงเป็นพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียว ดังนั้นจึงทรงรักใคร่เอ็นดูพระองค์มากเป็นพิเศษ ในรัชศกหยวนจยาปีที่หนึ่ง ราชสำนักกำลังตกอยู่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน ฮ่องเต้หยวนจยาเพิ่งเสด็จขึ้นครองราชย์ ในมีเหล่าอ๋องคอยจ้องตาเป็นมัน นอกมีศัตรูแข็งแกร่งโอบล้อม บัลลังก์ฮ่องเต้ไม่มั่นคง ต้องการความช่วยเหลือจากไทเฮาเป็นการด่วน
ตามตรอกเล็กซอยน้อยต่างเล่าลือกันว่าที่งานแต่งงานนี้เกิดขึ้นได้นั่นก็ด้วยเพราะฮ่องเต้กับไทเฮาทำข้อตกลงกัน แน่นอนว่านี่เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น ไม่มีใครกล้ายืนยัน
แต่ไม่ว่าเช่นไรชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาหนำซ้ำยังมีความสามารถอย่างกัวจุ่นกับองค์หญิงใหญ่หย่งหนิงผู้สูงศักดิ์แห่งราชสำนักต้าฉู่ก็กลายเป็นทองแผ่นเดียวกัน นี่ย่อมนับเป็นเรื่องดีของราชสำนักต้าฉู่ นี่เป็นความจริงที่ทุกคนล้วนเห็นได้ด้วยตา
“พวกเจ้ากลับไปกินอะไรก่อนเถอะ” ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่มองไปทางพวกเฉินจิ่น หลังจากชะงักไปชั่วขณะนางก็จงใจสำทับขึ้นอีกประโยค “เจ้าสาม เจ้าอยู่ที่นี่ก่อน”
สวี่ซื่ออ้าปากค้างก่อนจะปิดกลับลงไปพลางส่งสายตาปลอบขวัญไปทางเฉินจิ่น
คำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ไม่มีผู้ใดกล้าขัด พวกเฉินจิ่นเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ภายในห้องเหลือแค่คนสามคน
“เจ้าไปเอาข่าวนี้มาจากที่ใด” สวี่ซื่อเอ่ยปากเป็นคนแรก สีหน้าเคร่งขรึม เก็บซ่อนสายตาคาดคะเนไว้
“ตอนหลานไปงานชุมนุมกวีจวนซิงจี้ป๋อครั้งก่อน ได้ยินพวกบ่าวไพร่เก่าแก่ในจวนแอบวิพากษ์วิจารณ์กันถึงเรื่องดังกล่าวเจ้าค่ะ” เฉินอิ๋งตอบ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.