ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 13-15
บทที่ 14 ไหนเลยจะยอมเลอะเลือน
“ดูท่าท่านป้าใหญ่คงยังไม่เข้าใจสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล” เฉินอิ๋งพูดจาไม่มีเกรงใจ และยิ่งไม่เอ่ยวาจาเลอะเลือนเพียงเพราะฐานะอาวุโสของอีกฝ่าย “ทุกสิ่งที่เรียกว่ามัชฌิมานั้นต้องมิใช่ไม่รู้จักแยกแยะอะไรขาวอะไรดำ และยิ่งต้องไม่กลับผิดเป็นถูก ไม่ทราบว่าท่านป้าใหญ่สังเกตเห็นหรือไม่ องค์หญิงใหญ่หลังเสด็จเข้ามาในเรือนรับรอง พระองค์ก็ไม่รับสั่งถึงเรื่องเซียงซานเซี่ยนจู่ปรักปรำพี่ใหญ่แม้แต่น้อย ตั้งแต่เริ่มจนจบทรงทำแค่เพียงตรัสออกมาลอยๆ ว่าเป็น ‘เรื่องเหลวไหลของพวกเด็กๆ’ คำขออภัยใดๆ ล้วนอาศัยแค่คำว่าเซี่ยนจู่ ‘ใจร้อนบุ่มบ่าม’ ไม่มีทีท่าจะช่วยกอบกู้ชื่อเสียงให้พี่ใหญ่แม้แต่น้อย”
ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น เพลิงโทสะในใจของสวี่ซื่อก็ลุกพึ่บ นางโกรธจัดแล้ว
เฉินอิ๋งยามอยู่บ้านพูดจาน้อยมาก ขนาดธรรมเนียมเยี่ยมเยือนฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ยังเรือนหมิงหย่วนที่จัดขึ้นทุกๆ สิบวันนางเองก็แทบไม่ปริปากอันใด ด้วยเหตุนี้สวี่ซื่อจึงรู้สึกว่านางเป็นเพียงเด็กขี้ขลาดไม่ค่อยพูดค่อยจาผู้หนึ่งเท่านั้น ทว่ายามนี้ถ้อยคำของนางล้วนไม่มีทีท่าเกรงอกเกรงใจผู้หลักผู้ใหญ่เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเพราะเห็นผลประโยชน์เป็นหลัก ถึงกับยอมเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา
สวี่ซื่อรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าดรุณีน้อยนางนี้น่ารังเกียจยิ่งนัก
ถึงจะต่ำช้าเช่นไรก็ไม่อาจใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้ มีฐานะเป็นถึงคุณหนู เหตุใดถึงพร่ำฉุดลากชื่อเสียงของพี่น้องไม่หยุดปากเยี่ยงนี้ แค่ช่วยเหลือลูกจิ่นนิดๆ หน่อยๆ ก็ดัดเสียงข่มขู่ชาวบ้านแล้ว คิดว่าคนของบ้านใหญ่รังแกกันได้ง่ายๆ หรือไรกัน
อีกอย่างคนของบ้านใหญ่ไหนเลยจะต้องให้บ้านรองยื่นมือช่วยเหลือ น่าขันนัก!
ปะทะกันตรงๆ จัดเป็นวิธีที่บุ่มบ่ามที่สุด กลยุทธ์ล้ำเลิศคือการลอบลงมือเล่นงานอีกฝ่ายหนักหน่วงรุนแรงโดยแลดูเหมือนรักใคร่กลมเกลียวไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน ให้กัวย่วนต้องเป็นฝ่ายขาดทุนย่อยยับ นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าเปรื่องปราดเหนือชั้น
การชิงดีชิงเด่นกันภายในเรือนในความละมุนละม่อมเป็นสิ่งจำเป็น หาไม่แล้วหากทุกคนเอาแต่ฉีกหน้ากันและกัน เช่นนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
กึก!
เสียงวางถ้วยชาดังขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าสวี่ซื่อจางลง นางหันไปกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ ไม่แม้แต่จะมองเฉินอิ๋ง “ขอฮูหยินผู้เฒ่าอย่าได้ถือสา เจ้าสามอายุยังน้อยจึงหุนหันพลันแล่น ได้ออกไปคบค้าสมาคมกับผู้คนภายนอกเพียงไม่กี่ครั้ง จึงไม่รู้ว่าตนเองทำผิดพลาดอันใด ไว้ผ่านพ้นช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนี้ไปก่อน ถึงตอนนั้นนางย่อมรู้จักหนักเบาเร็วช้า ส่วนข้าก็จะคอยช่วยชี้แนะนางอีกแรงเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ไม่ได้ปริปากอันใด ทำเพียงจ้องดูเฉินอิ๋ง ความหมายคือให้นางพูดต่อไป
เฉินอิ๋งเอ่ยปาก “ท่านป้าใหญ่ เรื่องนี้มีหนทางประนีประนอมหรือไม่ ท่านน่าจะรู้ดีกว่าหลาน”
พอพูดถึงตรงนี้นางก็ยิ่งพูดช้าลง “ขอท่านป้าใหญ่ทำใจให้สงบ ลองไตร่ตรองทบทวนถึงคำพูดท่าทีขององค์หญิงใหญ่ที่มีต่อเรื่องนี้ให้ดี หลังจากนั้นค่อยลองพิจารณาดูโดยละเอียดอีกครั้ง หากหลังพวกเรากลับมา หลานยังไม่อาจสรุปสำนวนเรื่องนี้ ไม่บีบคั้นเซียงซานเซี่ยนจู่จนลนลาน ท่านป้าใหญ่คิดว่าองค์หญิงใหญ่จะทรงอนุญาตให้หลานซักถามเถาจือต่อหรือไม่ พูดให้เข้าใจก็คือท่านป้าใหญ่คิดว่าองค์หญิงใหญ่จะเปิดโอกาสให้หลานได้มีโอกาสตรวจสอบค้นหาความจริงกระนั้นหรือ”
สวี่ซื่อตะลึงลานเล็กๆ
ไม่รอให้นางได้เอ่ยปาก เฉินอิ๋งก็พูดต่อ “องค์หญิงใหญ่ทรงทำเป็นพูดจาเลอะเลือน นั่นก็เพราะต้องการให้เรื่องวันนี้ผ่านเลยไปเงียบๆ…”
“แล้วเช่นนั้นมันไม่ดีตรงที่ใด” สวี่ซื่อรีบเอ่ยปากตัดบทเฉินอิ๋ง
ยามนี้นางไม่อาจรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ได้อีกแล้ว ถูกเด็กรุ่นหลังถามท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่า นางก็เริ่มรักษาหน้าไว้ไม่อยู่ ดังนั้นน้ำเสียงจึงกลับกลายแข็งขืนตามไปด้วย
“เพราะเช่นนี้ป้าถึงได้บอกว่าเจ้าไม่เข้าใจ เจ้าสาม พวกเราคบค้าสมาคมกับผู้คน เรื่องราวต่างๆ มากมายมิใช่ล้วนแต่เป็นเช่นนี้” ยิ่งพูดน้ำเสียงของนางก็ยิ่งสูง คล้ายลืมท่วงท่ายามปกติไปหมดสิ้น “คนเราสถานะเช่นไรก็พูดจาเช่นนั้น เรื่องราวอยุติธรรมบางอย่างจำต้องรู้จักกล้ำกลืนเอาไว้ก่อน หลังจากนั้นค่อยหาวิธีจัดการอย่างลับๆ ไม่อาจบุ่มบ่ามอย่างที่เจ้าทำ หากทำเช่นนั้นพวกเราจะต่างอะไรกับสตรีปาก…ที่ทะเลาะกับชาวบ้านอยู่ที่ข้างถนน ชนชั้นสูงมิใช่สูงส่งกว่าผู้อื่นด้วยเพราะเหตุนี้หรือไร”
ไม่เพียงแค่น้ำเสียงเท่านั้นที่แข็งขืน แม้แต่คำพูดยังรุนแรง จนแม้แต่คำว่า ‘สตรีปากตลาด’ ก็ยังเกือบหลุดปากพูดออกมา
เฉินอิ๋งรู้สึกอับจน
สวี่ซื่อเกิดมาในครอบครัวขุนนาง อีกทั้งยังเป็นฮูหยินของซื่อจื่อจวนกั๋วกง ถือดีเรื่องชาติกำเนิด หยิ่งยโสในสถานะของตนมาแต่ไหนแต่ไร และยิ่งเชื่อมั่นในวิธีการของคนที่อยู่ในเรือนในของตน ครั้นได้ยินคำพูดเช่นนั้น เฉินอิ๋งก็นึกได้เพียงคำพูดที่ว่า ‘มรรคาแตกต่าง คนมิอาจร่วมทาง’
นางมองไปทางสวี่ซื่อด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ท่านป้าใหญ่ ที่พี่ใหญ่ต้องแบกรับคือโทษฐานลักขโมย เรื่องเช่นนี้ไหนเลยจะควรทำตัวเลอะเลือน ควรอะลุ้มอล่วย ยอมจัดการกันลับๆ กัน”
นางถามทีเดียวสามคราวติด ไม่รอให้สวี่ซื่อตอบเฉินอิ๋งก็รีบกล่าวต่ออีกว่า “หากไม่อาจกอบกู้ชื่อเสียงพี่ใหญ่ให้เป็นที่กระจ่างแจ้ง เรื่องราวในวันนี้จริงอยู่ว่าอาจผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่น บางทีวันหน้าท่านอาจวางแผนเล่นงานเซียงซานเซี่ยนจู่ได้ ทว่าต่อให้เล่นงานเซียงซานเซี่ยนจู่ได้สำเร็จ ทำนางแพ้พ่ายชื่อเสียงย่อยยับ มลทินบนตัวพี่ใหญ่ก็ใช่ว่าจะสามารถชำระล้างได้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพี่ใหญ่ถูกเซียงซานเซี่ยนจู่กล่าวหาว่าเป็นขโมย จวนกั๋วกงกลับยังคงรักใคร่กลมเกลียวอยู่กับจวนองค์หญิงใหญ่ หนำซ้ำยังแอบใช้วิธีลับๆ ล่อๆ ล้างแค้นเอาคืน นั่นหมายความว่าอะไร หรือว่ามิใช่กำลังบอกว่าจวนกั๋วกงเป็นพวกไร้เหตุผล พี่ใหญ่ไร้ซึ่งคุณธรรม?”
สวี่ซื่อตะลึงลาน ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกขยุ้มแน่น นางไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้จริงๆ
“ดังนั้นหลานถึงได้บอกว่าเรื่องนี้ไม่มีทางประนีประนอม” เฉินอิ๋งพูดต่อ น้ำเสียงมิได้ดุเดือดรุนแรง ดวงตาที่จับจ้องมาทางสวี่ซื่อใสกระจ่างดุจน้ำ “ดำก็คือดำ ขาวก็คือขาว พี่ใหญ่ไม่ใช่ขโมย เซียงซานเซี่ยนจู่ปรักปรำใส่ร้ายนาง เรื่องนี้นับแต่เริ่มก็ไม่อาจยอมความกันได้ ต่อให้วันนี้ไม่ล่วงเกินองค์หญิงใหญ่ รอจนองค์รัชทายาทเลือกพระชายาเอกเสร็จสิ้น องค์หญิงใหญ่ก็ยังคงขุดเรื่องนี้ขึ้นมาทำลายชื่อเสียงของพี่ใหญ่อยู่ดี ถึงตอนนั้นจวนกั๋วกงคิดช่วยเหลือก็พลาดโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว และจวนกั๋วกงกับจวนองค์หญิงใหญ่ก็ยังคงเป็นศัตรูกันอยู่วันยังค่ำ”
สวี่ซื่อครุ่นคิดไตร่ตรองถึงคำพูดดังกล่าว จู่ๆ แผ่นหลังก็มีเม็ดเหงื่อเล็กละเอียดผุดพราย
เฉินอิ๋งยังพูดไม่จบ ทว่าสวี่ซื่อแต่ไหนแต่ไรก็มิได้โง่งม นางเข้าใจได้แล้ว
หากหลังจากวันนี้จวนกั๋วกงเดินทางไปทูลขออภัยองค์หญิงใหญ่ถึงที่ คนอื่นๆ จะคิดเช่นไร จุดยืนของจวนกั๋วกงเล่าจะเป็นเช่นไร
ทว่าหากเรื่องนี้ไม่อาจประนีประนอมยอมความ หรือว่าพวกนางจะต้องแข็งกร้าวเช่นนี้ไปจนสุดทางจริงๆ
อีกฝ่ายเป็นถึงองค์หญิงใหญ่ เป็นพระขนิษฐาเพียงหนึ่งเดียวของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ถึงแม้จะไม่ใช่พระขนิษฐาร่วมบิดามารดร แต่อย่างไรก็ยังเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ไหนเลยจะล่วงเกินกันได้ง่ายๆ
“องค์หญิงใหญ่ไม่ยินดีลงมือเล่นงานจวนกั๋วกงก่อน นั่นก็เพราะทำเช่นนั้นย่อมเป็นการประกาศศึกกับจวนกั๋วกงซึ่งหน้า อีกทั้งยังไม่สอดคล้องกับท่วงทำนอง ‘รุกเก้าเหลือหนึ่ง’ ของราชสำนัก ขัดกับความปรารถนาเดิมของนาง ดังนั้นองค์หญิงใหญ่จึงพาผู้อาวุโสทั้งหมดไป ปล่อยให้เซียงซานเซี่ยนจู่คุมสถานการณ์เพียงลำพัง” เฉินอิ๋งวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ต่อ
“เซียงซานเซี่ยนจู่เป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่มีชั้นยศ มีนางกดทับอยู่ที่นั่น ผู้ใดเล่าจะกล้าข้ามหน้านางไป และเมื่อนางออกหน้า ไม่ว่าเช่นไรก็ย่อมต้องมีหนทางพลิกแพลงกอบกู้สถานการณ์ หากแผนการสำเร็จลุล่วง องค์หญิงใหญ่ย่อมบรรลุสมดังใจปรารถนา ต่อให้ล้มเหลวนางก็ยังสามารถอ้างเหตุผลขายผ้าเอาหน้ารอดบอกว่า ‘เด็กๆ ล้อเล่นกัน’ หนำซ้ำยังคงวางตนอยู่นอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นเช่นไร จวนกั๋วกงก็ยังคงแปดเปื้อนอยู่ดี แผนการนี้องค์หญิงใหญ่แทบเรียกได้ว่าไม่มีจุดให้แพ้พ่าย”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เฉินอิ๋งก็หยุดลงครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากสรุป “เรื่องในครั้งนี้ไม่ใช่ศัตรูตายก็ข้าม้วย นอกจากบุกทะลวงออกไปตรงๆ แล้วก็ไม่มีหนทางอื่น ดังนั้นหลานถึงได้เลือกปะทะกับองค์หญิงใหญ่ซึ่งหน้า หนึ่งก็เพื่อให้ความจริงปรากฏ สองก็เพื่อแสดงถึงจุดยืนของจวนกั๋วกงของพวกเรา”