ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 13-15
บทที่ 15 สกุลหวังในตำนาน
สวี่ซื่อจ้องเฉินอิ๋งไม่วางตา ในใจไม่นึกปลาบปลื้ม มีก็แต่ความรู้สึกหวาดประหวั่น
หากนางจำไม่ผิด เฉินอิ๋งปีนี้เพิ่งสิบสามปีบริบูรณ์เท่านั้น
เหตุใดเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เด็กสาวอายุสิบสามอย่างนางถึงสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ทะลุปรุโปร่งเยี่ยงนี้ เทียบกับตนเองแล้ว เฉินอิ๋งสมควรเป็นแค่เด็กน้อยไร้เดียงสาผู้หนึ่งเท่านั้นไม่ใช่หรือไรกัน
“คำพูดนี้จะว่าไปก็ถูก” ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่พยักหน้าช้าๆ เห็นด้วยกับคำพูดของเฉินอิ๋ง
เฉินอิ๋งถอนหายใจเงียบๆ แผ่นหลังเริ่มมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย
นางนึกเป็นกังวล กล่อมคนแซ่สวี่ผู้หนึ่งเหนื่อยกว่าสอบสวนเถาจือร้อยคน
ในห้องเงียบสงัดอยู่ครู่หนึ่ง สวี่ซื่อนั่งอยู่บนที่นั่งพยักหน้าไปทางฮูหยินผู้เฒ่า “ความหมายของฮูหยินผู้เฒ่า ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ไม่ว่าจะพูดเช่นไรอย่างไรนางก็เป็นผู้อาวุโสของเฉินอิ๋ง วาจายอมรับความพ่ายแพ้นั้นนางมีแต่จะกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าสวี่เท่านั้น
“วันนี้เจ้าสามทำได้ดีจริงๆ ป้าดีใจยิ่งนัก” นางหันมายิ้มให้เฉินอิ๋ง ใบหน้านุ่มนวลอ่อนโยนไม่ปรากฏร่องรอยความไม่พึงพอใจใดๆ รอยยิ้มของนางงดงามไร้ตำหนิ
เฉินอิ๋งลุกกล่าวขอบคุณออกมาประโยคหนึ่ง ก่อนจะนั่งกลับลงไปอีกครั้ง
สวี่ซื่อแม้จะไม่ขาดเล่ห์เหลี่ยมของคนในเรือนใน แต่ก็ใช่ว่าจะเชี่ยวชาญสักเท่าใดนัก ยังขาดสายตาอันกว้างไกลในการมองสภาพการณ์โดยรวมอยู่เล็กน้อย ต่างกับองค์หญิงใหญ่ที่เติบใหญ่มาพร้อมกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน การมองโลกจึงกว้างไกลเหนือกว่าสวี่ซื่อมากโข ถึงเฉินอิ๋งจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดองค์หญิงใหญ่ถึงทรงคิดมีเรื่องบาดหมางกับจวนกั๋วกง แต่หากว่ากันจากบางแง่มุม นางย่อมเข้าใจถึงวิธีการของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
จวนกั๋วกงในเวลานี้เรียกได้ว่าไม่ต่างอะไรกับไฟแรงต้มน้ำมัน บุปผาประดับแพรปัก จวนองค์หญิงใหญ่กลับเป็นเพียงครึ่งพระญาติฝ่ายนอก ที่หมายขีดเส้นคั่นกับจวนกั๋วกงย่อมไม่พ้นเพราะต้องการปกป้องตนเอง และด้วยเพราะเหตุนี้ ครั้นเซียงซานเซี่ยนจู่ลงมือ เฉินอิ๋งก็รู้ได้ทันทีว่าต่อให้ไม่ใช่เรื่องนี้ อีกฝ่ายก็พร้อมที่จะใช้วิธีการอื่นอยู่ดี ไม่มีทางประนีประนอมอันใดได้
“ดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเจ้าสามแท้แล้วจะฉลาดเฉลียวเยี่ยงนี้” สวี่ซื่อพูดทอดถอนใจเล็กๆ น้ำเสียงฟังดูไม่เป็นธรรมชาติ
“ท่านป้าใหญ่ชมเกินไปแล้ว” เฉินอิ๋งตอบกลับราวกับถูกตั้งค่าไว้ให้ตอบเช่นนั้น หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งนางก็พูดขึ้นอีก “อันที่จริงท่านป้าใหญ่เองก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใจเกินไปนัก หากไม่มีอะไรนอกเหนือความคาดหมาย อีกสองสามวันไทเฮากับองค์หญิงใหญ่ก็จะไม่มีเวลาสนใจพวกเราแล้ว”
“เอ๋? เพราะเหตุใดกัน” สวี่ซื่อเอ่ยถาม
เฉินอิ๋งนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจตอบออกมาตามตรง
“วันนี้หลานกับคุณหนูสกุลหวังพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง” นางพูดสีหน้างามสง่า “คุณหนูสกุลหวังทั้งสองแอบบอกกับหลานว่าองค์หญิงใหญ่ทรงละเมิดกฎบัญญัติอีกแล้ว”
สวี่ซื่อประหลาดใจเล็กๆ “สกุลหวัง? ที่เจ้าพูดถึงคือ…สกุลหวัง ‘ผู้นั้น’?”
“คือสกุลหวังผู้นั้น” เฉินอิ๋งพยักหน้ามั่นอกมั่นใจ “หลานกับคุณหนูหวังทั้งสองสนิทสนมกันเป็นอย่างดี เรื่องในวันนี้พวกนางเองก็ช่วยหลานไว้ไม่น้อย สาวใช้ข้างกายเซียงซานเซี่ยนจู่ที่ชื่อเส่าหงก็ได้สาวใช้สกุลหวังช่วยรั้งตัวไว้”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง นางก็พูดขึ้นต่อ “ตอนเถาจือขุดหลุมพรางเล่นงานพี่ใหญ่ เพราะหลานสังเกตเห็นเกล็ดน้ำตาลบนแขนเสื้อนางถึงได้นึกสงสัย ดังนั้นเลยขอให้คุณหนูหวังสองพี่น้องช่วยเหลือ รวบรวมคำให้การรวมถึงวาดแผนที่ให้ หากไม่มีพวกนางช่วยเหลือ แค่หลานเพียงผู้เดียวไหนเลยจะเปิดโปงเถาจือได้รวดเร็วเช่นนั้น”
คราวนี้สวี่ซื่อตกใจขึ้นมาจริงๆ แม้แต่บนใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ก็ยังปรากฏริ้วรอยประหลาดใจขึ้นหลายรอย
คำพูดของเฉินอิ๋งนี้เข้าใจได้ไม่ยาก นางกับสองคุณหนูสกุลหวังทั้งสองไม่เพียงรู้จักมักคุ้น หากยังมีความสนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างดี หาไม่แล้วผู้อื่นไหนเลยจะยอมลงมือลงแรงช่วยเหลือเพียงนั้น
“เรื่องนี้…นึกไม่ถึงเลยจริงๆ” สวี่ซื่อพึมพำแผ่วเบา ใบหน้าแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกไม่อาจนึกเชื่ออยู่หลายส่วน
สกุลหวังจัดเป็นหนึ่งในตำนานแห่งเมืองหลวง อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างของขุนนางปัญญาชนตกอับแห่งราชสำนักต้าฉู่
นายท่านสกุลหวังแซ่หวังชื่อเอ้อร์ปา ชื่อของเขาไม่เพียงไม่งามสง่าหากยังน่าขัน อีกทั้งยังทำงานชั้นต่ำเป็นคนเชือดหมู
ถึงในราชสำนักต้าฉู่เขาจะมีฐานะเป็นชนชั้นล่าง แต่นายท่านสกุลหวังกลับมีอภิชาตบุตรถึงสองคน คนหนึ่งชื่อหวังจั่ว อีกคนชื่อหวังโย่ว เพราะต่อมาพวกเขาสอบเป็นซิ่วไฉได้พร้อมกัน ภายใต้การชี้แนะของผู้เป็นอาจารย์พวกเขาได้เปลี่ยนชื่อเป็นหวังจั่ว กับหวังโย่ว ว่ากันว่ายามนั้นนายท่านสกุลหวังเดือดดาลยิ่งยวด
ชื่อของสองพี่น้องแม้จะพิลึกพิลั่นแต่พวกเขาก็ล้วนเป็นผู้มีความสามารถฉลาดเฉลียวเกินคน มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย หนำซ้ำยังได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่ง ผ่านการสอบระดับสูงได้เป็นจิ้นซื่อระดับสอง ทำให้สกุลหวังที่เป็นครอบครัวคนเชือดหมูสามชั่วรุ่นหลุดพ้นจากการเป็นเพียงชาวบ้านทั่วไป
ว่ากันตามหลักแล้ว บทสรุปของเรื่องนี้น่าจะเป็นนายท่านสกุลหวังตามบุตรชายเข้ามาเสวยสุขในวังหลวง ใช้ชีวิตแบบที่เรียกว่าสวมเสื้อเพียงยื่นมือ กินข้าวแค่อ้าปากนับแต่นั้น ทว่าชายชรากลับมีนิสัยแปลกประหลาด ไม่ว่าเช่นไรก็ไม่ยอมโยนมีดเชือดหมูเล่มนั้นทิ้ง ไม่เพียงไม่ติดตามลูกชายเข้าเมืองหลวง หนำซ้ำยังคงอยู่ในชนบทรับจ้างฆ่าหมูเช่นเดิม
พอเห็นผู้เป็นบิดาดื้อรั้นเช่นนั้น สองพี่น้องสกุลหวังก็จนปัญญา หลายครั้งที่ไปอ้อนวอนขอร้อง แต่ไม่ว่าเช่นไรผู้เป็นบิดาก็ไม่ยอมตกลงรับปาก กว่าจะยอมไปบ้านของบุตรชายสักครั้งก็ไม่ใช่ง่าย แต่เขากลับเอาแต่เหน็บมีดเชือดหมูเดินไปมา หนำซ้ำยังไปกินเนื้อดื่มสุราอยู่กับพวกบ่าวไพร่ โดยเฉพาะคนครัว ไม่มีทีท่าเหมือนคนเป็นนายท่านแม้แต่น้อย
ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น สองพี่น้องสกุลหวังก็ยังคงกตัญญูต่อผู้เป็นบิดาอย่างที่สุด
แม้จะตกพุ่มม่ายมานาน แต่นายท่านสกุลหวังกลับยืนกรานไม่ยอมแต่งภรรยาใหม่ ด้วยเพราะกลัวจะพาภรรยาใหม่มารังแกลูกชายทั้งสอง ดังนั้นจึงคอยทำตัวเป็นทั้งบิดามารดาเลี้ยงดูบุตรชายทั้งสองจนเติบใหญ่ ด้วยเหตุนี้ความผูกพันระหว่างพ่อลูกจึงแน่นแฟ้นมากเป็นพิเศษ ต่อให้นายท่านสกุลหวังทำเรื่องไม่อยู่กับร่องกับรอยอันใด ขอเพียงยอมอยู่ในเมืองเซิ่งจิง สองพี่น้องสกุลหวังล้วนยินดีปรีดายิ่ง แล้วมีหรือจะไปก้าวก่ายชีวิตของผู้เป็นบิดา
บางทีอาจเพราะสืบทอดความ ‘ไม่เหมือนใคร’ มาจากผู้เป็นบิดา สองพี่น้องสกุลหวังจึงทำอะไรนอกเหนือความคิดอ่านของผู้คนอยู่เป็นประจำ เป็นตัวประหลาดของราชสำนัก บุตรชายคนโตหวังจั่วเป็นรองหัวหน้ากองพิธีบวงสรวง ถึงตำแหน่งจะไม่สูง แต่กลับไต่เต้าขึ้นมาจากข้าหลวงตรวจสอบหกกรม สมญานาม ‘เนื้อเหนียว’ พูดให้น่าฟังหน่อยคือเป็นคนนอกกลมในเหลี่ยม หากจะพูดให้ไม่น่าฟังก็ต้องบอกว่าเป็นพวกเจ้าเล่ห์แสนกล ยากจะรับมือด้วย ว่ากันว่าขนาดอำมาตย์บางคนก็ยังเกรงกลัวเขา ส่วนน้องรองหวังโย่วนั่นยิ่งแล้วใหญ่ ไม่เพียงเป็นผู้ตรวจการ อีกทั้งยังเป็นพวกบนขึ้นได้ถึงสวรรค์ ล่างลงถึงสมุทร กลางยังสามารถเข้าถึงฮ่องเต้ สมญาทั่วหล้าไม่มีคนที่ไม่กล้าเข้าพบ
คุณหนูสกุลหวังที่เฉินอิ๋งกล่าวถึง คนหนึ่งคือบุตรีของหวังจั่ว ชื่อหวังหมิ่นเจิน อีกคนเป็นบุตรีของหวังโย่ว ชื่อหวังหมิ่นจือ
เพราะหวังโย่วล่วงเกินคนมากเกินไป หวังจั่วเองก็เข้าถึงได้ยาก ดังนั้นท่ามกลางสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลาย คุณหนูทั้งสองจึงไม่มีมิตรสหายอันใด ทันทีที่เห็นพวกนาง คุณหนูทั้งหลายก็ต่างพากันหลบลี้หนีหน้า แต่เฉินอิ๋งยามนี้กลับบอกว่านางกับคุณหนูทั้งสองเป็นสหายสนิท เรื่องนี้ย่อมสร้างความประหลาดใจให้กับสวี่ซื่อไม่ใช่น้อย
“เจ้ากับพวกนางสนิทสนมกันมากอย่างนั้นหรือ” สวี่ซื่อถามด้วยสีหน้าไม่ปกตินัก
สองพี่น้องสกุลหวังแม้จะอายุยังน้อย แต่กลับเป็นขุนนางคนสำคัญ หากบอกว่าฮ่องเต้หยวนจยาไม่มีพระราชประสงค์จะเลื่อนขั้นพวกเขาไหนเลยจะมีใครยอมเชื่อ สกุลสวี่คราวนี้ตั้งใจมุ่งมั่นจะช่วงชิงตำแหน่งอำมาตย์ หากสามารถคบค้ากับสกุลหวังได้ ย่อมไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
พอได้ยินเช่นนั้นมุมปากของเฉินอิ๋งก็ยกเชิด “หลานกับพวกนางไม่อาจนับว่าสนิทชิดเชื้อกันเป็นพิเศษ ทว่าทุกครั้งเวลาพบหน้าค่าตากันก็มักพูดคุยกันสองสามประโยคเสมอ คงบอกได้เพียงว่าพอพูดคุยกันได้ก็เท่านั้น”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.