ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 16-18 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 16-18

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 16 กฎอาภรณ์เครื่องประดับ

สวี่ซื่อยิ้มน้อยๆ คราหนึ่งพลางยกถ้วยชาขึ้นดื่มด้วยท่วงท่าเอ้อระเหย “ลูกจิ่นเป็นคนรักสนุก เกรงว่าคงยากจะอยู่นิ่งวงสนทนากับพวกเจ้า มิน่านางถึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ป้าฟัง”

คำพูดนี้กำลังตำหนิที่เฉินอิ๋งไม่ยอมแนะนำคุณหนูหวังทั้งสองให้เฉินจิ่นได้รู้จัก?

ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในใจเฉินอิ๋งครู่หนึ่ง ก่อนจะถูกนางโยนทิ้งออกจากสมองในที่สุด

สวี่ซื่อคิดเช่นไร ไม่เกี่ยวอะไรกับนางแม้แต่น้อย

“นับตั้งแต่ปีที่แล้ว พวกนางสองคนก็บอกกับหลานมาตลอดว่าองค์หญิงใหญ่มักทรงละเมิดกฎต่างๆ อยู่เสมอ” เฉินอิ๋งพูดต่อจากเมื่อครู่ หวังว่าสวี่ซื่อจะไม่พูดออกนอกเรื่องอีก

“องค์หญิงใหญ่ทรงละเมิดกฎบัญญัติข้อใด” ในที่สุดฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ก็ถามเข้าประเด็น

เฉินอิ๋งถอนหายใจพลางรีบตอบ “เรียนท่านย่า องค์หญิงใหญ่กับเซียงซานเซี่ยนจู่ล้วนละเมิดกฎเรื่องอาภรณ์เครื่องประดับ ว่ากันตามที่คุณหนูหวังบอก มีอยู่หลายครั้งที่อาภรณ์ที่องค์หญิงใหญ่ทรงสวมใส่ด้านบนมีมังกร ส่วนเซียงซานเซี่ยนจู่ก็มักสวมรองเท้าปักไก่ฟ้าคู่หงส์คู่”

สวี่ซื่อกับฮูหยินผู้เฒ่าสวี่สีหน้าแปรเปลี่ยนพร้อมกัน

ทั่วหล้ามีเพียงฮ่องเต้และฮองเฮาเท่านั้นถึงจะสามารถสวมอาภรณ์มังกร ส่วนที่อยู่ตั้งแต่เซี่ยนจู่ลงมาก็สวมใส่ได้เพียงอาภรณ์ปักลายไก่ฟ้าคู่เท่านั้น ไม่อาจใช้ลายหงส์ได้ นี่เป็นกฎที่บรรพชนกำหนดไว้ ห้ามมิให้ผู้ใดขัดขืน

การกระทำเช่นนี้ขององค์หญิงใหญ่มิใช่การละเมิดกฎธรรมดาๆ หากเป็นฮ่องเต้ที่จริงจังกว่านี้แค่เพียงเล็กน้อย โทษของนางคงไม่แคล้วต้องถูกตัดหัว

“พวกเราเคยได้ยินพวกบ่าวไพร่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กลางงานเลี้ยงอยู่หลายครั้ง พวกนางต่างบอกว่าไทเฮาชอบพระราชทานเสื้อผ้าอาภรณ์ให้องค์หญิงใหญ่กับเซียงซานเซี่ยนจู่ บ่าวไพร่พวกนั้นไม่เข้าใจ ทว่าคุณหนูสกุลหวังสองพี่น้องกลับไม่เลอะเลือน” เฉินอิ๋งกล่าวต่อ

สวี่ซื่อเข้าใจในคำพูดของนางได้ทันที แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่กล้านึกเชื่อ นางลังเลไล้ถ้วยชาที่อยู่ในมือแผ่วเบา “เรื่องนี้จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้เรื่องเล็กก็ได้ สกุลหวัง…จะลงมือจริงอย่างนั้นหรือ”

“สกุลหวังกับองค์หญิงใหญ่มีเรื่องหมางใจกันอยู่ พวกเขาต้องลงมือแน่” เฉินอิ๋งปล่อยข่าวสำคัญออกมา

สวี่ซื่อตกตะลึงไปกับคำพูดของอีกฝ่าย นางวางถ้วยชาลง ถามเสียงขรึมว่า “เหตุใดพวกเขาถึงมีเรื่องหมางใจกัน เรื่องนี้เริ่มต้นได้เช่นไร”

“เรื่องนี้เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับนายท่านหวัง” ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่พูดต่อ

“ท่านย่าปราดเปรื่องยิ่งนัก” มุมปากของเฉินอิ๋งยกขึ้นน้อยๆ

ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่แม้จะออกนอกจวนน้อยครั้ง แต่กลับเห็นได้ชัดว่าช่องทางข่าวสารของนางนั้นเหนือกว่าสวี่ซื่อมากนัก ปัญหาอยู่แค่เพียงนางต้องการทราบหรือไม่เท่านั้น

“นี่ก็ไม่เช้าแล้ว ข้าเองก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน ไม่กวนเวลาพวกเจ้ากินข้าวล่ะ” จู่ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ก็ยกถ้วยชาที่อยู่อีกด้านขึ้น ไม่เพียงไม่ต้องการพูดถึงเรื่องเมื่อครู่ต่อ หากยังเอ่ยปากส่งแขกออกมาตรงๆ

สวี่ซื่อตะลึงไปชั่วขณะ นางรีบวางถ้วยชาลง ลุกขึ้นเอ่ยปากนอบน้อม “พวกเราต่างหากที่เป็นฝ่ายรบกวนความสงบของฮูหยินผู้เฒ่า”

“ไม่เป็นไร” ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่กล่าว ท่าทางยังคงเปี่ยมด้วยเมตตา นางเอ่ยปากเรียกคน “หลิวเป่าซ่านจยา ช่วยส่งพวกฮูหยินใหญ่แทนข้าด้วย”

หลิวเป่าซ่านจยาเดิมก็ไม่ได้เดินไปไหนไกล พอได้ยินเสียงเรียกนางก็เลิกม่านเดินเข้ามา ค้อมกายยิ้มบอกว่า “ผู้น้อยกำลังจะขอคำชี้แนะจากฮูหยินผู้เฒ่าอยู่พอดี อาหารเย็นไม่ทราบควรจัดไว้ที่ใด”

“ที่ห้องนี้ก็แล้วกัน” ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่คล้ายไม่นึกสนใจ นางพูดออกมาเพียงประโยคเดียวก่อนจะวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ หลังจากนั้นก็หลับตาลง หลิวเป่าซ่านจยาไม่กล้าพูดมาก ทำเพียงหันหลังเลิกม่านประตูขึ้นสูงเล็กน้อย สวี่ซื่อเองก็วางเท้าแผ่วเบา นำพาเฉินอิ๋งถอยออกไปช้าๆ

จนกระทั่งเดินพ้นบันไดระเบียงทางเดินออกมา หลิวเป่าซ่านจยาถึงได้ถาม “ฮูหยินใหญ่เองก็คงเหนื่อยแล้วเช่นกัน ต้องการให้ผู้น้อยเรียกคนหามเกี้ยวเข้ามาหรือไม่”

สวี่ซื่อรีบบอก “ไม่จำเป็น ข้าก็แค่อยู่พูดคุยเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าครู่หนึ่งเท่านั้น จะเหนื่อยอันใดได้” นางพูดพลางยิ้ม “วันนี้นั่งอยู่บนรถมาครึ่งค่อนวันแล้ว ข้าอยากเดินเล่นสักหน่อย”

หลิวเป่าซ่านจยาพยักหน้า ยิ้มส่งนางออกไป

แสงสายัณห์เข้มขึ้นทีละน้อย ฟากฟ้าฝั่งตะวันตกยังคงแดงสดใสงดงาม เฉินอิ๋งเงยหน้ามองไปกลับเห็นดวงตะวันสาดแสงเฉียงแต่งแต้มมุมชายคาหน้าระเบียงทางเดิน เหมือนหนึ่งสวรรค์โปรยผงทองลงมาเบื้องล่าง ทุกจุดที่เห็นล้วนส่องประกายอบอุ่น

เหล่าสาวใช้ตัวน้อยต่างถือโคมไฟเดินตรงเข้ามาจากอีกด้าน พอเห็นสวี่ซื่อพวกนางก็รีบแสดงคารวะ ก่อนจะใช้ไม้ยาวๆ เป็นตัวล่อเชื้อไฟ จุดโคมไฟสองสามดวงที่อยู่ใกล้ประตูเรือนหมิงหย่วน

สวี่ซื่อกับเฉินอิ๋งกล่าวลาหลิวเป่าซ่านจยา หลังก้าวเท้าข้ามธรณีประตู ครั้นเงยหน้าขึ้นก็เห็นเฉินจิ่นกับพวกเฉินเซียงยืนพูดคุยกันอยู่บนระเบียงทางเดินนอกประตูพร้อมสาวใช้ ไม่ได้เดินเข้ามา ทันทีที่เห็นสวี่ซื่อเดินออกมา พวกนางก็พากันเดินเข้ามารับหน้า

“ท่านแม่ ท่านย่าว่าเช่นไรบ้าง ร้ายแรงหรือไม่” เฉินจิ่นเปิดปากก่อน ใบหน้างดงามสะดุดตาแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกวิตกกังวล ดูงดงามยากจะบรรยาย

สวี่ซื่อมองดูบุตรี แววตาทั้งภาคภูมิใจทั้งปลื้มปีติ

บุตรีของนางไม่จำเป็นต้องฉลาดเฉลียวยิ่งยวด เพราะไม่ว่าเช่นไรก็มีมารดาคอยหนุนหลังอยู่ ไม่ต้องกร้าวแกร่งมากมายเหมือนอย่างเฉินอิ๋ง

สวี่ซื่อในใจรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยน นางยื่นมือลูบไล้เส้นผมของเฉินจิ่น เอ่ยวาจานุ่มนวลว่า “เรื่องผ่านไปแล้ว”

พอได้ยินเช่นนั้นเฉินจิ่นก็สบายใจไปกว่าครึ่ง หันไปคลี่ยิ้มงดงามให้กับสวี่ซื่อ กอดแขนผู้เป็นมารดาส่ายไปมาอย่างสนิทสนม ก่อนจะหันมองไปทางเฉินอิ๋งและถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “น้องสาม เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

“ข้าสบายดี ขอบคุณพี่ใหญ่ที่ถามไถ่” เฉินอิ๋งตอบตามธรรมเนียม หลังจากนั้นก็ปิดปากเงียบ

เฉินจิ่นคิดว่าอีกฝ่ายอย่างน้อยก็น่าจะพูดอะไรบ้าง นึกไม่ถึงกลับพูดออกมาแค่เพียงประโยคเดียว นางรู้สึกผิดหวัง

ขณะกำลังจะถามอะไรบางอย่าง สวี่ซื่อกลับเอ่ยปากขึ้นก่อน “เอาล่ะ กลับกันได้แล้ว นี่ก็สายมากแล้ว อย่าให้ท่านแม่ของพวกเจ้าต้องเป็นห่วง” หลังจากนั้นก็หันกลับไปยิ้มให้เฉินอิ๋งคราวหนึ่ง เอ่ยปากเมตตา “เด็กดี เจ้าเองก็รีบกลับเถอะ ท่านแม่ของเจ้าป่านนี้คงรอจนร้อนใจแย่แล้ว”

เฉินอิ๋งขานรับนอบน้อม สวี่ซื่อพาเฉินจิ่นมุ่งหน้าตรงไปยังซุ้มประตูวงเดือน ทางทิศตะวันออก

ที่ตั้งของบ้านใหญ่กับบ้านสี่ล้วนอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจวน ทว่าเฉินอิ๋งกับเฉินเซียงสองพี่น้องกลับอยู่ทางเดียวกัน เรือนทั้งสองต่างอยู่ทางมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ เรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่เป็นคนกำหนดมันด้วยตนเอง แน่นอนว่าเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องขัดแย้ง เฉินอิ๋งรู้สึกว่าการจัดการเช่นนี้นับว่าสมเหตุสมผลยิ่ง

สวินเจินสาวใช้ของเฉินอิ๋งยืนรออยู่ที่นอกประตูมาตลอด ยามนี้เพิ่งจะสบโอกาส นางเดินตรงเข้ามาเงียบๆ ยื่นส่งเสื้อคลุมโปร่งเบาสีเหลืองขนห่านปักลายกระเรียนเมฆาที่พาดอยู่บนแขนให้เฉินอิ๋งพลางพูดแผ่วเบาว่า “คุณหนูสวมเสื้อคลุมสักหน่อยเถอะ ยามนี้อากาศเริ่มเย็นแล้วเจ้าค่ะ”

เฉินอิ๋งรับเสื้อคลุมมาถือไว้ ชำเลืองเห็นเฉินเซียงเฉินหานที่อยู่ข้างๆ ต่างสวมเสื้อคลุมเรียบร้อยอยู่ก่อนแล้ว นี่เป็นเครื่องแต่งกายที่ตัดขึ้นใหม่ของปีนี้ พวกคุณหนูทั้งหลายต่างมีกันคนละชุด ทั้งหมดล้วนแต่เป็นผ้าโปร่งเบาปักลาย จะต่างกันก็ตรงสีสันเท่านั้น

สามพี่น้องเดินไปตามเส้นทางตะวันตกที่มีซุ้มประตูรูปแจกันตั้งอยู่เงียบๆ หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว น้องสี่เฉินหานก็ทนไม่ไหว เอ่ยปากถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “พี่สาม ท่านทำผิดใหญ่โตถึงเพียงนั้น ท่านย่าลงโทษท่านใช่หรือไม่ ลงโทษให้คุกเข่าหรือว่าคัดคัมภีร์” นางพูดพลางปิดปากยิ้ม “ท่านย่าลงโทษคนครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน ข้าจำได้ว่าครั้งนั้นคนถูกลงโทษคือพี่ใหญ่ ท่านป้าใหญ่ร้องไห้อยู่ครึ่งชั่วยามเต็มๆ”

นางยิ้มซื่อไร้เดียงสาคล้ายนึกขึ้นได้ถึงเรื่องชวนเบิกบานใจอะไรบางอย่าง

“น้องสี่ เหตุใดเจ้าถึงพูดเช่นนี้” เฉินเซียงกระตุกแขนเสื้ออีกฝ่าย ใบหน้าแดงระเรื่อกระอักกระอ่วน

พวกนางเป็นพี่น้องแม่เดียวกัน ล้วนแต่เป็นบุตรีของเสิ่นซื่อ ทว่าเฉินเซียงนิสัยไม่ค่อยเปิดเผย จึงไม่เป็นที่โปรดปรานของเสิ่นซื่อนัก ตรงกันข้ามกับเฉินหานที่ราวกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกับเสิ่นซื่อ จึงเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของเสิ่นซื่อยิ่ง

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com