ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 16-18
บทที่ 17 ในเรือนหมิงเฟิง
“ข้าก็แค่ถามเท่านั้น แม้แต่เรื่องนี้พี่รองยังต้องยุ่ง?” เฉินหานตอกกลับอย่างไม่เกรงใจพลางหักกิ่งหลิวนอกทางเดินลงมากิ่งหนึ่ง เหวี่ยงมันลงกับพื้นเต็มแรง
“กล้าขวางทางข้า ขนาดท่านแม่ยังไม่กล้ายุ่งเรื่องของข้า แล้วท่านถือดีอะไร” เฉินหานไม่ยอมรับคำทักท้วงจากอีกฝ่าย นางยิ้มหยันกล่าว “แค่ติดตามบ้านใหญ่มีหน้ามีตาเข้าหน่อยพี่รองก็หลงลำพองแล้วอย่างนั้นหรือ ใครไม่รู้จะคิดว่าพี่รองเด็ดดาวคว้าดวงจันทร์มาได้ ที่ไหนได้ก็แค่พวกให้สีเจ้าไม่กี่สีก็คิดจะเปิดโรงย้อมเท่านั้น”
นี่คือการเหน็บหอกพกกระบอง ไม่ว่าจะเฉินอิ๋งหรือเฉินเซียงล้วนถูกนางด่าเหมารวมเข้าด้วยกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำพูดพวกนี้ต้องถ่ายทอดมาจากปากของเสิ่นซื่อแน่ สมแล้วที่เป็นแม่ลูกกัน
เฉินเซียงโมโหจนปากเขียวหน้าซีด หลังจากจ้องอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งนางก็หันหน้าเดินจากไป
เฉินหานเบิกตากว้างกว่าเดิมคล้ายรู้สึกประหลาดใจ ขณะเดียวกันก็คล้ายน้อยเนื้อต่ำใจ นางทำปากยื่นหันไปทางเฉินอิ๋ง พูดกระเง้ากระงอดว่า “เหตุใดพี่รองต้องโมโหด้วย ข้าก็แค่หยอกเย้าเล่นหน่อยเดียวเท่านั้น แค่นี้ก็ถือสาหาความด้วย ใจแคบเสียนี่กระไร”
เฉินอิ๋งยกยิ้มมุมปาก ไม่พูดไม่จา
โลกนี้มีคนชอบใช้คำพูดเป็นอาวุธโจมตีเล่นงานผู้อื่นอยู่จริงๆ หากถือสาหาความ คนพวกนั้นก็จะบอกว่าล้อเล่น หากคิดว่าล้อเล่น อีกฝ่ายก็จะด่าจนคนที่ถูกด่าเสียคนหนักเข้าไปอีก นิสัยเช่นนี้ของเฉินหานเรียกได้ว่าสีครามเกิดจากต้นครามแต่เข้มยิ่งกว่าต้นคราม โดยแท้ แม้แต่เสิ่นซื่อก็ยังเทียบไม่ติด
พอเห็นเฉินอิ๋งไม่พูดไม่จา เฉินหานก็กลอกตาไปมา ขยับเข้าไปหาพลางเปิดปากยิ้มพูด “แย่จริง เพราะนิสัยพูดอะไรโผงผางตรงไปตรงมาเช่นนี้ของข้าแท้ๆ ถึงทำพี่รองโมโหวิ่งหนีไปเช่นนี้ อีกเดี๋ยวข้าคงต้องไปขออภัยนางแล้ว” พูดๆ ไปแล้วนางก็หันไปตำหนิเฉินอิ๋ง “พี่สาม แล้วเหตุใดพี่สามถึงไม่เตือนข้า ทำเช่นนี้เท่ากับท่านไม่เห็นข้าเป็นน้องสาวสักนิด”
วาจาตำหนิเล็กๆ โอดครวญน้อยๆ นี้ทั้งอ่อนหวานทั้งน่าเอ็นดู ไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยใสซื่อไม่รู้ประสีประสา ต่างกับท่าทีแสบสันเมื่อครู่ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ
“พวกเราอย่างไรก็พี่น้องกัน” เฉินหานยิ้มหวาน สีหน้าคล้ายรู้สึกว่าเรื่องราวสมควรเป็นเช่นนั้น “ระหว่างพี่น้องมีอะไรช่วยเหลือกันได้ก็ควรช่วยเหลือกันไม่ใช่หรือไร”
“เช่นนั้นตอนอยู่ในคฤหาสน์อู่หลิง เหตุใดน้องสี่ถึงไม่ช่วยข้าพูดอะไรบ้าง” เฉินอิ๋งเอ่ยปาก
เฉินหานยิ้มหน้าไม่เปลี่ยนสี “ข้าจะช่วยอะไรพี่ได้ อีกอย่างพี่สามออกจะรู้จักพูด เสียงดังเซ็งแซ่ ไหนเลยจะมีช่องให้พวกข้าได้เอ่ยปาก”
“แต่ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น” เฉินอิ๋งมองดูนางด้วยสีหน้าเปิดเผยตรงไปตรงมา “เท่าที่ข้าเห็น น้องสี่ต่างหากถึงเรียกว่าช่างเจรจา ในเมืองเซิ่งจิงไม่มีผู้ใดเทียบได้”
เฉินหานอายุยังน้อย ยังไม่ถึงขั้นหนังหนาหน้าด้าน พอได้ยินคำพูดเช่นนั้นนางก็เก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่ พูดว่า “นั่นแน่ ที่แท้พี่สามก็พูดจากระแหนะกระแหนเป็นกับชาวบ้านด้วย ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ คนอย่างข้าเป็นคนพูดจาไม่เก่ง ไหนเลยจะเทียบพี่สามได้”
พูดจบนางก็ทำเป็นถอนหายใจเสียดายและปั้นหน้าผิดหวัง “แต่ก่อนพี่สามไม่ใช่เช่นนี้ ทว่าตอนนี้ในใจของพี่สาม พี่น้องในบ้านก็ยังแบ่งสำคัญมากน้อย บ้านใหญ่เป็นที่หนึ่ง ในใจไม่มีพวกเราบ้านสาม”
คำพูดยุให้รำตำให้รั่วเช่นนี้หลุดออกมาจากปากนางง่ายดายราวกับดื่มน้ำกินข้าว
เฉินอิ๋งยิ้มมุมปาก สีหน้ายังคงจริงจัง “น้องสี่ เจ้าพูดมาตั้งมากมายเช่นนี้ คงไม่ใช่คิดจะหลอกถามข่าวจากข้าเอากลับไปบอกคนอื่นกระมัง ทว่าที่ข้าจะบอกก็คือข้าไม่มีเรื่องอะไรให้เจ้าสืบ อย่าเสียเวลาเปลืองน้ำลายเลย”
เฉินหานตะลึง นี่ไม่ใช่วิธีการพูดจาของสตรีในจวนที่นางคุ้นเคยเลยสักนิด
พวกเรามิใช่ควรเอ่ยวาจาเล่นลิ้น ซ่อนเข็มในปุยฝ้าย แฝงเรื่องจริงอยู่กับเรื่องที่เหมือนจะใช่แต่ไม่ใช่หรอกหรือ แล้วเหตุใดนางถึงพูดจาชัดแจ้งเยี่ยงนี้ เช่นนี้จะให้ผู้อื่นพูดต่อว่ากระไร
รอยยิ้มบนใบหน้านางจู่ๆ ก็กลับกลายแข็งขืน หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งใบหน้าของนางก็กลับกลายจริงจัง “พี่สาม ท่านพูดเช่นนี้หมายความเช่นไร ใครคิดจะหลอกถามความจริงจากท่านกัน”
“หรือว่าไม่ใช่?” เฉินอิ๋งย้อนถาม
เฉินหานหัวเราะพรืดออกมาคำหนึ่ง เอ่ยวาจาเหยียดหยัน “ท่านคิดว่าตนเองเป็นใคร ข้ามีความจำเป็นอะไรต้องหลอกถามข่าวคราวจากท่านด้วย”
เฉินอิ๋งยิ้มมุมปาก ชูนิ้วขึ้นนิ้วหนึ่ง “ประการแรก ข้าคือพี่สามของเจ้า” หลังจากนั้นนางก็ชูนิ้วเพิ่มขึ้นอีกนิ้ว “ประการที่สอง เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้” พูดจบนางก็ลดมือลงแล้วรวบเสื้อคลุม “น้องสี่ เจ้าก็ค่อยๆ เดินเถอะ ข้าขอตัวก่อน”
เฉินอิ๋งยังไม่ทันพูดจบก็สาวเท้ายาวๆ ขึ้นหน้า เพียงไม่นานก็ทิ้งเฉินหานไว้ทางด้านหลัง
สวินเจินกลั้นหัวเราะ รีบแสดงคารวะต่อเฉินหานก่อนจะตามเฉินอิ๋งไปติดๆ
เพียงชั่วสองสามอึดใจ ท่ามกลางทางเดินคดเคี้ยวก็เหลือเพียงเฉินหานที่ยืนนิ่งอยู่กับที่กับสาวใช้ของนางเอง
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เฉินหานก็กระทืบเท้าหนักหน่วง พูดประชดประชันว่า “เชอะ เจ้าพวกมีแม่คลอดแต่ไม่มีพ่อสอนสั่ง คิดว่าตนเองเป็นใครกัน!” พูดจบนางก็หันหน้ากลับไปถลึงตามองผู้เป็นสาวใช้ปราดหนึ่ง “เจ้าตายแล้วหรือไร เหตุใดถึงไม่รู้จักช่วยข้าขวางนางไว้”
สาวใช้รายนั้นกลับฉลาดเฉลียวยิ่งนัก พอได้ยินเช่นนั้นแทนที่จะพากลับ นางกลับหน้าด้านขยับขึ้นหน้าขอความเมตตา “โธ่คุณหนู ผู้น้อยแขนเล็กขาสั้น ไหนเลยจะไล่ตามคุณหนูสามทัน” นางพูดพลางเดินขึ้นหน้ารั้งคนไว้ “คุณหนูรีบกลับกันดีกว่า เมื่อครู่แม่เฒ่าอวี๋บอกว่าเย็นวันนี้คุณหนูหกต้องท่องตำราให้นายท่านฟัง หากคุณหนูยังไม่กลับไป เช่นนั้นนางชั้นต่ำนั่นต้องถือโอกาสเหยียบจมูกท่านแน่ๆ”
“นางกล้า?” ถูกอีกฝ่ายเตือนสติเช่นนั้นเฉินหานก็สองตาเบิกกว้างอ้าปากร้องด่าออกมาคราหนึ่ง “นางสุนัขจิ้งจอกนั่นชอบประจบประแจงนัก คอยดูเถอะสักวันข้าจะถลกหนังนาง” นางพูดพลางชักเท้าเดินรวดเร็ว
เฉินอิ๋งไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น นางเดินผ่านต้นไม้ดอกไม้ไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนสวินเจินกว่าจะตามมาทันก็ไม่ใช่ง่าย นางปิดปากหัวเราะ “วันนี้คุณหนูร้ายกาจยิ่งนัก น่าเสียดายที่ท่านไม่เห็นสีหน้าของคุณหนูสี่ นางแทบจะกลายเป็นเสือหน้าเขียวอยู่แล้ว”
เฉินอิ๋งถลึงตาใส่อีกฝ่าย “เจ้าแอบไปดูงิ้วที่ใดมาอีกแล้วใช่หรือไม่”
สวินเจินรีบปิดปาก ไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้เพียงครึ่งคำ
สตรีอย่างคุณหนูของพวกนางแต่ละคนล้วนร้ายกาจ คำพูดใดจริงคำพูดใดเท็จแค่ฟังดูก็รู้ได้แล้ว ยามอยู่ต่อหน้าคุณหนูทั้งหลาย ดีที่สุดคือไม่ปริปากพูดอันใด
พ้นทางเดินคดเคี้ยวออกมาก็จะพบกับสวนดอกไม้งดงามขนาดเล็ก ผ่านทางเดินหินกลางสวนไป เลี้ยวผ่านซุ้มต้นถูหมี สองซุ้ม กลับขึ้นไปบนทางเดินคดเคี้ยวที่เชื่อมต่อถึงตำแหน่งสงัดเงียบไกลหูไกลตาคนอีกคราว สุดท้ายพวกเฉินอิ๋งก็มาถึงยังเรือนหมิงเฟิงอันเป็นที่ตั้งของบ้านรอง
เฉินอิ๋งไปพบหลี่ซื่อผู้เป็นมารดาก่อน
หลายวันมานี้หลี่ซื่อล้มป่วยด้วยโรคกลีบกุหลาบ* หนำซ้ำยังไอหนัก ยามนี้เพิ่งกินยาหลับไป ตอนเฉินอิ๋งแวะไปหา เรือนประธานยังมืดอยู่ สาวใช้จื่อฉี่เดินออกมาและพานางไปยังห้องข้าง
“ท่านแม่ดีขึ้นบ้างหรือไม่” หลังเข้าไปถึงด้านในเฉินอิ๋งก็เอ่ยปากถาม
จื่อฉี่ค้อมกายตอบ “เรียนคุณหนู ฮูหยินดีขึ้นมากแล้ว หลายวันก่อนฮูหยินมักหลับไม่สนิท แต่วันนี้ดูเหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย หลับไปตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน ไม่พลิกตัวแม้แต่สักครั้ง ผู้น้อยกำลังคิดว่าคืนนี้ฮูหยินน่าจะนอนหลับพักผ่อนได้เต็มตื่น”
“เช่นนั้นก็ดี” เฉินอิ๋งโล่งอก หลังกำชับจื่อฉี่สองสามประโยคจบนางก็กลับไปยังเรือนข้างฝั่งตะวันตก